วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

โคลนนิ่งควายตัวแรกของโลก




โคลนนิ่งควายตัวแรกสำเร็จ นักวิทยาศาสตร์ภารตะอวดเทคนิคใหม่

 

ไทยรัฐออนไลน์,19 ก.พ. 52 

 

นัก วิทยาศาสตร์ภารตะประกาศว่า สามารถโคลนนิ่งควายตัวแรกของโลกได้สำเร็จ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ลูกแหง่ อยู่ได้เพียงอาทิตย์เดียว ก็เป็นปอดบวมตาย

 

ผู้ อำนวยการสถาบันวิจัยแห่งชาติ ดร.เอ.เค. ศรีวัสทวะ แจ้งว่า การโคลนนิ่งควายตัวแรก ใช้ เทคนิคการสำเนาพันธุ์แบบก้าวหน้า แบบเดียวกันกับการโคลนนิ่งแกะตัวแรก ที่ตั้งชื่อให้ว่า ดอลลี่เมื่อปี พ.ศ.2549 หากแต่ว่าลูกควายอยู่มาได้แค่ อาทิตย์แรกก็ตาย ด้วยโรคปอดบวม ทางสถาบันได้ โคลนนิ่งโดยการสำเนาพันธุ์จากเซลล์ซึ่งเอามาจากควายตัวเมียอีก 2 ตัว ซึ่งกำหนดจะตกลูกออกมาในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนปีนี้

 

เขากล่าวว่า เทคนิคการโคลนนิ่ง ซึ่งสถาบันพัฒนาขึ้นนี้ สามารถจะโคลนนิ่งลูกควายให้เกิดมาเป็นเพศใดก็ได้. 



วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

กาลิเลโอ กาลิเลอี



ดวงดาวเหนือกาลเวลา กาลิเลโอ


 

ปี 2552 นี้ถือว่ามีความสำคัญ ต่อวงการดาราศาสตร์อย่างมากใน 2 เรื่อง เรื่องแรกปีนี้ถือเป็นปีแห่งการดาราศาสตร์สากล

 

  และอีกเรื่องหนึ่งคือเป็นวาระครบรอบ 400 ปี ที่กาลิเลโอพัฒนากล้องโทรทัศน์ ขึ้นมาใช้สำหรับสังเกตหมู่ดาวจากโลกได้เป็นครั้งแรก ในโอกาสนี้หน่วยงานด้านดาราศาสตร์ต่างๆ จึงได้ร่วมมือกันจัดกิจกรรมมากมายเพื่อเฉลิมฉลองวาระอันพิเศษนี้ หนึ่งในนั้นคือการจัดพิมพ์หนังสือสำคัญ 2 เล่ม ได้แก่ จักรวาลที่ซ่อนเร้น (Hidden Universe) และมองฟ้า (Eyes on the Skies) เพื่อนำเสนอเรื่องราวและภาพอันน่าทึ่งของจักรวาลที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเป็นครั้งแรก

 

 ภาพเหล่านี้ประกอบด้วยภาพถ่ายจากกล้องโทรทัศน์ฮับเบิ้ลซึ่งจะมีอายุ 18 ปีในปีนี้ เป็นภาพของกลุ่มดาวเกิดใหม่ที่เชื่อว่าน่าจะเกิดขึ้นเมื่อหนึ่งล้านปีก่อน ในภาพจะเห็นหมู่ดาวในกลุ่มฝุ่นและแก๊สในจักรวาลที่ เนบิลาไตรฟิด (Trifid Nebula) และภาพถ่ายจากกล้องสปิตเซอร์ ซึ่งทำให้เราได้เห็นขณะหนึ่งของปรากฏการณ์การก่อเกิดของดวงดาวต่างๆ ถึง 30  ดวง และดาวเกิดใหม่อีก 120 ดวง กระจายกันอยู่ใน Trifid Nebula

 

 การค้นพบกล้องโทรทัศน์ ถือเป็นการปฏิวัติและพัฒนาการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในวงการดาราศาสตร์ในช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา กล้องชนิดนี้เป็นอุปกรณ์สำคัญที่บรรดานักดาราศาสตร์ทั้งหลายต้องพึ่งพาเพื่อใช้ในการสังเกตและการเฝ้ามองดวงดาวบนท้องฟ้า เพื่อทำความเข้าใจกับปรากฏการณ์ที่อยู่สูงขึ้นไปและความมหัศจรรย์ของจักรวาลซึ่งยังไม่มีใครอธิบายได้ กล้องนี้จึงแทบจะเป็นอุปกรณ์สำคัญที่สุดเพียงอย่างเดียวที่ช่วยให้มนุษย์เข้าใจจักรวาลมากขึ้น ช่วยในเรื่องการเรียนรู้เพื่อเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับโลกและจักรวาลที่เราอาศัยอยู่  

 

 หนังสือมองฟ้าและดีวีดีรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของกล้องโทรทัศน์ ความสำคัญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สำคัญ ตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ เยอรมัน ฟินแลนด์ และเกาหลี คาดว่าจะเริ่มเผยแพร่ได้ในช่วงต้นปีนี้ และเนื่องในปีแห่งดาราศาสตร์สากล สหพันธ์ดาราศาสตร์ระหว่างประเทศ (IAU)  และองค์กรด้านวัฒนธรรม, วิทยาศาสตร์และการศึกษาแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) จะมีการจัดกิจกรรมเพื่อรำลึกถึงความสำคัญของกาลิเลโอ อาทิ การผลิตภาพยนตร์สารคดีเรื่อง "400 ปีกล้องโทรทัศน์"  ในรูปรายการโทรทัศน์แพร่ภาพออกอากาศไปทั่วโลก ส่วนที่เป็นภาพยนตร์จะนำออกฉายทั้งในโรงภาพยนตร์ธรรมดา และโรงภาพยนตร์สามมิติ (IMAX) ทั่วโลกเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้ความรู้เรื่องดาราศาสตร์และกล้องโทรทัศน์ ทั้งในอาคารยอดโดมแบบใหม่และท้องฟ้าจำลองแบบเดิม  รวมถึงมีการเปิดเว็บไซต์ http://www.400years.org เพื่อเผยแพร่ข้อมูลในด้านต่างๆ เพิ่มเติมด้วย

 

 

 

ที่มา : http://blogs.mirror.co.uk, http://www.eyesontheskies.org/

 


กาลิเลโอ กาลิเลอี

 

 กาลิเลโอ เกิดที่อาร์เซตรี แคว้นทัสคานี ประเทศอิตาลี มีชีวิตอยู่ระหว่าง พ.ศ. 2107- 2185 เป็นนักฟิสิกส์ นักคณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์และนักปรัชญา ผลงานที่ถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญที่สุดคือ การพัฒนากล้องโทรทัศน์สำหรับใช้ในการสำรวจอวกาศ ผ่านการเฝ้าสังเกตท้องฟ้าและหมู่ดาว เขาเป็นผู้สนับสนุนแนวคิดโคเปอร์นิคัสคนสำคัญคนหนึ่ง กาลิเลโอ เป็นผู้มีคุณูปการต่อการเรียนรู้เกี่ยวกับดาราศาสตร์อย่างยิ่ง เขายังเป็นผู้ค้นพบดาวบริวารขนาดใหญ่ทั้ง 4 ของดาวพฤหัสบดี  มีส่วนในการสำรวจ ค้นพบและวิเคราะห์จุดดับในดวงอาทิตย์ด้วย

 

 

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์,   7  ก.พ. 2552  




การสู้ชีวิตยามเศรษฐกิจวิกฤติ



ดิ้นหาเงิน หางานยามวิกฤติ

 

  

คนอเมริกันกลุ่มตัวอย่าง แต่ละคนมีวิธีการคิดกับการบริหารชีวิตแตกต่างกันไปแต่ทุกคนมีเป้าหมายที่เหมือนกัน

 คือการมีงานทำหารายได้เลี้ยงตัวเอง มีความมั่นคงของชีวิต และมีสุขภาพกายกับสุขภาพจิตที่ดี เพื่อช่วยให้พวกเขาฟันฝ่ารอดพ้นภาวะถดถอย ที่คาดกันว่าจะลากยาวตลอดปีนี้ และอาจเลยเถิดไปจนถึงปีหน้า

 

 เจสัน เอลดริจ
 เป็นอดีตนายธนาคารทำงานบุคคลธนกิจของ เชส แบงก์ ในเมืองพีโอเรีย มลรัฐอริโซน่า ทำเงินได้ 40,000 ดอลลาร์ต่อปี แต่กลางปีที่แล้วประมาณเดือนมิ.ย.เขาและเพื่อนร่วมเช่าห้องพักตัดสินใจเสี่ยงดวงเสี่ยงโชค ไปหางานใหม่ด้านการธนาคารทำในกรุงนิวยอร์ก

 

 แต่ความพยายามของเอลดริจและเพื่อนกลับคว้าน้ำเหลว และเงินสะสมที่เหลืออยู่หมดไปกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว ส่วนอดีตเพื่อนร่วมห้องพักก็ย้ายกลับไปอยู่อริโซน่าเหมือนเดิม ส่วนเขากลับไปอาศัยอยู่พ่อที่มลรัฐแมสซาชูเซตส์ 

 

 เอลดริจคิดว่าการหางานใหม่ที่ดีและน่าพอใจ จะทำให้เขาเสียเวลาว่างงานไม่กี่สัปดาห์ แต่เอาเข้าจริงๆ ต้องเสียเวลานานถึง 7 เดือน กว่าจะหางานทำได้ และเป็นงานทำครัวที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง ชื่อว่า "รีเบคกาส์ เพลส" ด้วยค่าตอบแทน 8 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง

 

 งานใหม่เทียบกับงานเก่า ทำให้รายได้ของเอลดริจหายไปถึง 60% และทำให้ชีวิตจริงของเอลดริจเปลี่ยนแปลงไปแบบตรงกันข้ามมาก จากที่เคยสะดวกสบายมีความสุขกับการใช้เงิน

 

 "ที่อริโซน่าผมออกไปเที่ยวสนุกข้างนอกทุกคืน แต่ตอนนี้ชีวิตผมกลับเรียบง่ายมาก ตื่นตอนเช้าแล้วเดินไปทำงาน เพราะผมต้องขายรถตัวเอง ตอนค่ำคืนผมไม่ได้เข้าภัตตาคารหรือบาร์ที่ไหนอีกเลย ผมยกเลิกใช้บริการอินเทอร์เน็ต และหันมาใช้บริการคอมพิวเตอร์ในห้องสมุดแทน และลดการใช้โทรศัพท์" เอลดริจ ให้ข้อมูล

 

 ทุกวันนี้เอลดริจยอมรับว่าสิ่งที่ยากที่สุดที่จะต้องละหรือเลิก คือการหมดสิ้นอิสรภาพอย่างที่เคยมีเมื่อปีที่แล้ว ทั้งออกไปเที่ยวใช้เงินนอกบ้าน และไม่ต้องกังวลมากนักถึงอนาคต แต่สิ่งสำคัญที่เขาขอฝากถึงมนุษย์เงินเดือนทั่วโลกว่า หากมีเงินก็ขอให้อดออมเสียตั้งแต่ตอนนี้ เพราะทุกคนไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต

 

 

 จาร์รอด พอสเนอร์


 เป็นมนุษย์เงินเดือนอายุยังไม่มากเกินไป ในวัยเพียง 34 ปี จากอดีตพนักงานปล่อยสินเชื่อบ้านของบริษัทก่อสร้างบ้าน ดี.อาร์.ฮอร์ตัน เคยทำเงินได้ปีละ 110,000 ดอลลาร์ พลิกผันได้งานใหม่เป็นที่ปรึกษาชั่วคราวเป็นสัญญาจ้างกับมหาวิทยาลัยโฟนิกซ์ เมื่อเดือนก.ย.ปีที่แล้วงานที่ปรึกษาให้ค่าตอบแทนแก่พอสเนอร์เพียงปีละ 33,000 ดอลลาร์ เทียบกับงานเก่าแล้วเขามีรายได้หดหายไปอย่างมาก 70%   

 

 พอสเนอร์เข้าโครงการเลย์ออฟมาตั้งแต่เดือนพ.ค.ปีที่แล้ว และทั้งๆ ขยันค้นหาสมัครงานผ่านเว็บไซต์หางาน และเขาได้รับข้อเสนอเป็นสัญญาจ้างเพียงแห่งเดียว ในตำแหน่งที่ปรึกษาอาสาสมัครของมหาวิทยาลัยโฟนิกซ์

 

 ทุกวันนี้พอสเนอร์ยอมรับว่าสิ่งยากลำบากที่สุด ทำให้เขาต้องยอมถอย เป็นสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่สะดวกไร้ความสบาย และต้องนับรู้ว่าตัวเองและครอบครัวต้องการความมั่นคงทางการเงินอยู่ตลอดเวลา และหวังว่าจะฉลาดมากขึ้นในการใช้ชีวิต

 

 "แท้จริงแล้วผมรู้สึกขอบคุณสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผมได้งานในเวลาเดียวกันกับที่ภรรยาผมก็หางานได้ และผมตระหนักดีว่าเราต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่อย่างมาก" พอสเนอร์เล่า และเสริมว่าครอบครัวของเขาซึ่งมีลูกสองคน บ้านถูกจดจำนองจนต้องย้ายไปหาที่พักให้เช่า ลดการใช้รถลงจาก 2 คันเหลือเพียงคันเดียว พร้อมกับเรียนรู้ที่จะทำงบบัญชีรายจ่าย

 

 "ตอนนี้ยอมรับว่าเป็นความยากลำบากของชีวิต แต่ผมก็พอใจกับงานและมีความสุขที่ยังมีงานทำ ในสถานการณ์ที่บ้านถูกจดจำนองและเป็นไปได้ว่าครอบครัวอาจล้มละลาย แต่เราตระหนักถึงความเป็นครอบครัวคือสิ่งสำคัญที่สุด" พอสเนอร์สรุปช่วงท้าย

 

 

 ลิซ่า เบรก


 อดีตกัปตันประจำฐานทัพอากาศสหรัฐ เคยได้รับเงินเดือนปีละ 83,000 ดอลลาร์ พลิกผันหันมาทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญไอที เงินเดือนปีละ 36,000 ดอลลาร์ หลังเจ็บปวดทรมานจากปัญหาด้านสุขภาพ และตัดสินใจลาออกจากฐานทัพอากาศสหรัฐ

 

 เงินเดือนที่เบรคได้รับจากตำแหน่งงานล่าสุด ลดลงจากที่เคยได้จากการทำงานเป็นกัปตันฐานทัพอากาศถึง 55% เบรคเล่าว่าหลังออกจากงานแรกคิดว่าการหางานใหม่ทำไม่ใช่เรื่องยาก ในเมื่อมีปริญญาถึง 3 ใบ และพื้นที่อาศัยในเมืองโคโรลาดา สปริงส์ เป็นแหล่งที่มีงานเปิดรับอดีตทหารและข้าราชการเสมอ 

 

 แต่หลังจากค้นหางานอยู่นาน 11 เดือน เบรคกลับได้ข้อเสนอเพียงงานเดียว คือเป็นผู้เชี่ยวชาญไอที ซึ่งเธอยอมรับว่าเป็นงานดีมากให้ผลประโยชน์ไม่น้อย แต่ค่าตอบแทนที่ได้รับอยู่ที่ 36,000 ดอลลาร์ต่อปีเท่านั้น ครั้งแรกที่รับรู้ค่าตอบแทน เบรคถึงกับอึ้งเพราะตลอดชีวิตของเธอ ต้องทำงานหนักเพื่อเรียนให้ได้วุฒิสามารถสมัครงานได้

 

 ในที่สุดเบรคยอมรับว่าสิ้นหวัง จากข้อเสนองานใหม่ ที่ให้เงินเดือนน้อยกว่างานเก่า 55% แม้เป็นการตัดสินใจยากลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่สามีของเบรคเองไม่มีงานประจำ หลังจากเขาลาออกจากการเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายซ่อมบำรุงเครื่องบิน และตอนนี้เขาทำอาชีพอิสระติดตั้งเครื่องเสียงแบบโฮมเธียร์เตอร์ตามบ้าน  

 

 "เรามีลูก 2 คน และมีภาระสินเชื่อบ้านก้อนโต ตอนนี้พยายามลดหนี้ส่วนนี้ การออกไปดูหนังนอกบ้านกลายเป็นความฟุ่มเฟือย เพียงแค่ได้พักผ่อนนับเป็นความหรูหราสะดวกสบายแล้ว พวกเราได้เรียนรู้กับคำว่าต้องทำด้วยรายได้น้อยลงมาก และจำเป็นต้องตัดรายจ่ายให้มากที่สุด อยากบอกคนอื่นที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันว่า จงหางานทำต่อไปแม้ข้าหน้าดูเหมือนมีแต่ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว" 

 

 เบลก แฮริสัน


 เป็นเหยื่อวิกฤติรายสุดท้าย เคยทำงานด้านโทรคมนาคมและการสื่อสาร ของ Integral Choice มีรายได้ 47,000 ดอลลาร์ต่อปี และเพิ่งโดนเลย์ออฟในเดือนพ.ค.2551 ถือเป็นการเลย์ออฟครั้งที่ 2 ที่เขาเผชิญในรอบ 5 ปี 

 ปัจจุบันแฮริสันเป็นพนักงานของ Alcatraz Media บริษัทนายหน้าขายตั๋วท่องเที่ยว ได้ค่าตอบแทนคิดเป็นรายชั่วโมง ตกชั่วโมงละ 12 ดอลลาร์ คิดแล้วรายได้ของเขาหายวูบไป 47% ตอนนี้แฮริสันไม่มีศักยภาพการเงิน ที่จะคิดถึงหรือซื้อสิ่งของฟุ่มเฟือยชิ้นใหญ่หรือแม้แต่ชิ้นเล็กๆ สักชิ้น

 

 "ตอนนี้ผมได้แต่ขอบคุณตัวเอง ที่ยังมีงานทำและได้เดินทางไปทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ ผมมั่นใจว่าปีนี้จะเป็นที่ดีกว่าอีกปีหนึ่ง เมื่อเราได้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ" แฮริสันกล่าวช่วงท้าย

 

 


-----------------

 

แหล่งหางานพิเศษ

 

·        ภัตตาคาร-ร้านอาหาร การจัดเลี้ยงงานสังสรรค์วันหยุด หรือเทศกาลต่างๆ ของครอบครัวผู้มีรายได้สูง นิยมบริการนอกสถานที่ ต้องใช้พนักงานชั่วคราวจำนวนมาก หมายถึงโอกาสหารายได้เสริม

 

·        งานคอนเสิร์ต-การแข่งกีฬาครั้งสำคัญ ทั้งการจัดคอนเสิร์ตและการแข่งกีฬานัดสำคัญ ทั้งในช่วงเทศกาลและนอกเทศกาล สามารถจัดได้ตลอดทั้งปี  ส่วนใหญ่แล้วต้องใช้พื้นที่และคนช่วยงานจำนวนมาก

 

 

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์,   8 ก.พ. 2552



วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2552

สเต็กสูตรปลอดโรคมะเร็ง ต้องหมักเนื้อกับเบียร์ หรือเหล้าไวน์ก่อน





ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์,5 ม.ค. 52 

 

นิตยสารข่าววิทยาศาสตร์ นิว ไซเอนทิสต์อันมีชื่อเสียง รายงานว่า นักวิจัยได้แนะให้หมักเนื้อที่จะทำสเต็กกับเหล้าไวน์แดงหรือเบียร์ จะช่วยลดสารก่อมะเร็งที่จะเกิดขึ้น เมื่อทอดหรือปิ้งย่างลงได้

ปกติเนื้อที่ทอดหรือปิ้งย่าง จะเกิดสาร ประกอบเฮอเทอโรไซคลิคซึ่งก่อมะเร็ง เกิดขึ้นเป็นปริมาณสูง

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยปอร์โตแห่งสเปน ได้รายงานผลการค้นพบในวารสาร เคมีเกษตรและอาหารว่า หากเอาเนื้อไปหมักกับเหล้าเสียก่อนหน้า นานสัก 6 ชม. จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดสารนั้นได้ถึงร้อยละ 90 ถ้าหากหมักกับเบียร์อย่างเดียว นานแค่ 4 ชม. ก็พอ

นักวิจัยเชื่อว่าน้ำตาลที่อมน้ำอยู่ในเบียร์และเหล้าไวน์ อาจจะเป็นตัวการ โดยมันอาจจะป้องกันไม่ให้โมเลกุลที่ละลายน้ำได้ในเนื้อ โผล่ออกมาที่ผิวพื้น ซึ่งเมื่อโดนความร้อนสูง มันจะกลายเป็น สารประกอบเฮอเทอโรไซคลิคได้

พวกเขายังได้บอกว่า ผู้ที่เคยลองชิมสเต็กสูตรนี้ต่างติดใจในกลิ่น รสชาติ และหน้าตาของมันไปตามๆกัน.