ดิ้นหาเงิน หางานยามวิกฤติ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
คนอเมริกันกลุ่มตัวอย่าง แต่ละคนมีวิธีการคิดกับการบริหารชีวิตแตกต่างกันไปแต่ทุกคนมีเป้าหมายที่เหมือนกัน
คือการมีงานทำหารายได้เลี้ยงตัวเอง มีความมั่นคงของชีวิต และมีสุขภาพกายกับสุขภาพจิตที่ดี เพื่อช่วยให้พวกเขาฟันฝ่ารอดพ้นภาวะถดถอย ที่คาดกันว่าจะลากยาวตลอดปีนี้ และอาจเลยเถิดไปจนถึงปีหน้า
เจสัน เอลดริจ
เป็นอดีตนายธนาคารทำงานบุคคลธนกิจของ เชส แบงก์ ในเมืองพีโอเรีย มลรัฐอริโซน่า ทำเงินได้ 40,000 ดอลลาร์ต่อปี แต่กลางปีที่แล้วประมาณเดือนมิ.ย.เขาและเพื่อนร่วมเช่าห้องพักตัดสินใจเสี่ยงดวงเสี่ยงโชค ไปหางานใหม่ด้านการธนาคารทำในกรุงนิวยอร์ก
แต่ความพยายามของเอลดริจและเพื่อนกลับคว้าน้ำเหลว และเงินสะสมที่เหลืออยู่หมดไปกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว ส่วนอดีตเพื่อนร่วมห้องพักก็ย้ายกลับไปอยู่อริโซน่าเหมือนเดิม ส่วนเขากลับไปอาศัยอยู่พ่อที่มลรัฐแมสซาชูเซตส์
เอลดริจคิดว่าการหางานใหม่ที่ดีและน่าพอใจ จะทำให้เขาเสียเวลาว่างงานไม่กี่สัปดาห์ แต่เอาเข้าจริงๆ ต้องเสียเวลานานถึง 7 เดือน กว่าจะหางานทำได้ และเป็นงานทำครัวที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง ชื่อว่า "รีเบคกาส์ เพลส" ด้วยค่าตอบแทน 8 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง
งานใหม่เทียบกับงานเก่า ทำให้รายได้ของเอลดริจหายไปถึง 60% และทำให้ชีวิตจริงของเอลดริจเปลี่ยนแปลงไปแบบตรงกันข้ามมาก จากที่เคยสะดวกสบายมีความสุขกับการใช้เงิน
"ที่อริโซน่าผมออกไปเที่ยวสนุกข้างนอกทุกคืน แต่ตอนนี้ชีวิตผมกลับเรียบง่ายมาก ตื่นตอนเช้าแล้วเดินไปทำงาน เพราะผมต้องขายรถตัวเอง ตอนค่ำคืนผมไม่ได้เข้าภัตตาคารหรือบาร์ที่ไหนอีกเลย ผมยกเลิกใช้บริการอินเทอร์เน็ต และหันมาใช้บริการคอมพิวเตอร์ในห้องสมุดแทน และลดการใช้โทรศัพท์" เอลดริจ ให้ข้อมูล
ทุกวันนี้เอลดริจยอมรับว่าสิ่งที่ยากที่สุดที่จะต้องละหรือเลิก คือการหมดสิ้นอิสรภาพอย่างที่เคยมีเมื่อปีที่แล้ว ทั้งออกไปเที่ยวใช้เงินนอกบ้าน และไม่ต้องกังวลมากนักถึงอนาคต แต่สิ่งสำคัญที่เขาขอฝากถึงมนุษย์เงินเดือนทั่วโลกว่า หากมีเงินก็ขอให้อดออมเสียตั้งแต่ตอนนี้ เพราะทุกคนไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต
จาร์รอด พอสเนอร์
เป็นมนุษย์เงินเดือนอายุยังไม่มากเกินไป ในวัยเพียง 34 ปี จากอดีตพนักงานปล่อยสินเชื่อบ้านของบริษัทก่อสร้างบ้าน ดี.อาร์.ฮอร์ตัน เคยทำเงินได้ปีละ 110,000 ดอลลาร์ พลิกผันได้งานใหม่เป็นที่ปรึกษาชั่วคราวเป็นสัญญาจ้างกับมหาวิทยาลัยโฟนิกซ์ เมื่อเดือนก.ย.ปีที่แล้วงานที่ปรึกษาให้ค่าตอบแทนแก่พอสเนอร์เพียงปีละ 33,000 ดอลลาร์ เทียบกับงานเก่าแล้วเขามีรายได้หดหายไปอย่างมาก 70%
พอสเนอร์เข้าโครงการเลย์ออฟมาตั้งแต่เดือนพ.ค.ปีที่แล้ว และทั้งๆ ขยันค้นหาสมัครงานผ่านเว็บไซต์หางาน และเขาได้รับข้อเสนอเป็นสัญญาจ้างเพียงแห่งเดียว ในตำแหน่งที่ปรึกษาอาสาสมัครของมหาวิทยาลัยโฟนิกซ์
ทุกวันนี้พอสเนอร์ยอมรับว่าสิ่งยากลำบากที่สุด ทำให้เขาต้องยอมถอย เป็นสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่สะดวกไร้ความสบาย และต้องนับรู้ว่าตัวเองและครอบครัวต้องการความมั่นคงทางการเงินอยู่ตลอดเวลา และหวังว่าจะฉลาดมากขึ้นในการใช้ชีวิต
"แท้จริงแล้วผมรู้สึกขอบคุณสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผมได้งานในเวลาเดียวกันกับที่ภรรยาผมก็หางานได้ และผมตระหนักดีว่าเราต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่อย่างมาก" พอสเนอร์เล่า และเสริมว่าครอบครัวของเขาซึ่งมีลูกสองคน บ้านถูกจดจำนองจนต้องย้ายไปหาที่พักให้เช่า ลดการใช้รถลงจาก 2 คันเหลือเพียงคันเดียว พร้อมกับเรียนรู้ที่จะทำงบบัญชีรายจ่าย
"ตอนนี้ยอมรับว่าเป็นความยากลำบากของชีวิต แต่ผมก็พอใจกับงานและมีความสุขที่ยังมีงานทำ ในสถานการณ์ที่บ้านถูกจดจำนองและเป็นไปได้ว่าครอบครัวอาจล้มละลาย แต่เราตระหนักถึงความเป็นครอบครัวคือสิ่งสำคัญที่สุด" พอสเนอร์สรุปช่วงท้าย
ลิซ่า เบรก
อดีตกัปตันประจำฐานทัพอากาศสหรัฐ เคยได้รับเงินเดือนปีละ 83,000 ดอลลาร์ พลิกผันหันมาทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญไอที เงินเดือนปีละ 36,000 ดอลลาร์ หลังเจ็บปวดทรมานจากปัญหาด้านสุขภาพ และตัดสินใจลาออกจากฐานทัพอากาศสหรัฐ
เงินเดือนที่เบรคได้รับจากตำแหน่งงานล่าสุด ลดลงจากที่เคยได้จากการทำงานเป็นกัปตันฐานทัพอากาศถึง 55% เบรคเล่าว่าหลังออกจากงานแรกคิดว่าการหางานใหม่ทำไม่ใช่เรื่องยาก ในเมื่อมีปริญญาถึง 3 ใบ และพื้นที่อาศัยในเมืองโคโรลาดา สปริงส์ เป็นแหล่งที่มีงานเปิดรับอดีตทหารและข้าราชการเสมอ
แต่หลังจากค้นหางานอยู่นาน 11 เดือน เบรคกลับได้ข้อเสนอเพียงงานเดียว คือเป็นผู้เชี่ยวชาญไอที ซึ่งเธอยอมรับว่าเป็นงานดีมากให้ผลประโยชน์ไม่น้อย แต่ค่าตอบแทนที่ได้รับอยู่ที่ 36,000 ดอลลาร์ต่อปีเท่านั้น ครั้งแรกที่รับรู้ค่าตอบแทน เบรคถึงกับอึ้งเพราะตลอดชีวิตของเธอ ต้องทำงานหนักเพื่อเรียนให้ได้วุฒิสามารถสมัครงานได้
ในที่สุดเบรคยอมรับว่าสิ้นหวัง จากข้อเสนองานใหม่ ที่ให้เงินเดือนน้อยกว่างานเก่า 55% แม้เป็นการตัดสินใจยากลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่สามีของเบรคเองไม่มีงานประจำ หลังจากเขาลาออกจากการเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายซ่อมบำรุงเครื่องบิน และตอนนี้เขาทำอาชีพอิสระติดตั้งเครื่องเสียงแบบโฮมเธียร์เตอร์ตามบ้าน
"เรามีลูก 2 คน และมีภาระสินเชื่อบ้านก้อนโต ตอนนี้พยายามลดหนี้ส่วนนี้ การออกไปดูหนังนอกบ้านกลายเป็นความฟุ่มเฟือย เพียงแค่ได้พักผ่อนนับเป็นความหรูหราสะดวกสบายแล้ว พวกเราได้เรียนรู้กับคำว่าต้องทำด้วยรายได้น้อยลงมาก และจำเป็นต้องตัดรายจ่ายให้มากที่สุด อยากบอกคนอื่นที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันว่า จงหางานทำต่อไปแม้ข้าหน้าดูเหมือนมีแต่ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว"
เบลก แฮริสัน
เป็นเหยื่อวิกฤติรายสุดท้าย เคยทำงานด้านโทรคมนาคมและการสื่อสาร ของ Integral Choice มีรายได้ 47,000 ดอลลาร์ต่อปี และเพิ่งโดนเลย์ออฟในเดือนพ.ค.2551 ถือเป็นการเลย์ออฟครั้งที่ 2 ที่เขาเผชิญในรอบ 5 ปี
ปัจจุบันแฮริสันเป็นพนักงานของ Alcatraz Media บริษัทนายหน้าขายตั๋วท่องเที่ยว ได้ค่าตอบแทนคิดเป็นรายชั่วโมง ตกชั่วโมงละ 12 ดอลลาร์ คิดแล้วรายได้ของเขาหายวูบไป 47% ตอนนี้แฮริสันไม่มีศักยภาพการเงิน ที่จะคิดถึงหรือซื้อสิ่งของฟุ่มเฟือยชิ้นใหญ่หรือแม้แต่ชิ้นเล็กๆ สักชิ้น
"ตอนนี้ผมได้แต่ขอบคุณตัวเอง ที่ยังมีงานทำและได้เดินทางไปทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ ผมมั่นใจว่าปีนี้จะเป็นที่ดีกว่าอีกปีหนึ่ง เมื่อเราได้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ" แฮริสันกล่าวช่วงท้าย
-----------------
แหล่งหางานพิเศษ
· ภัตตาคาร-ร้านอาหาร การจัดเลี้ยงงานสังสรรค์วันหยุด หรือเทศกาลต่างๆ ของครอบครัวผู้มีรายได้สูง นิยมบริการนอกสถานที่ ต้องใช้พนักงานชั่วคราวจำนวนมาก หมายถึงโอกาสหารายได้เสริม
· งานคอนเสิร์ต-การแข่งกีฬาครั้งสำคัญ ทั้งการจัดคอนเสิร์ตและการแข่งกีฬานัดสำคัญ ทั้งในช่วงเทศกาลและนอกเทศกาล สามารถจัดได้ตลอดทั้งปี ส่วนใหญ่แล้วต้องใช้พื้นที่และคนช่วยงานจำนวนมาก
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, 8 ก.พ. 2552