วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เตือนชายนอนดึก-ลงพุง : เสี่ยงเซ็กส์เสื่อม



เตือนชายไทยอายุ 40 ปีขึ้นไปนอนดึก กินเหล้า-อาหารมีไขมันมาก สูบบุหรี่ อ้วนลงพุงเสี่ยงภาวะฮอร์โมนเพศชายพร่อง ระบุอาการร่างกายอ่อนเพลีย หงุดหงิด ซึมเศร้า หมดอารมณ์เซ็กส์ แนะพบแพทย์ตรวจเลือด ขณะที่จิตแพทย์ชี้ปัญหาเซ็กส์ไม่สมดุลทำชีวิตคู่พัง ส่วนใหญ่ชายไทยมีปัญหาหลั่งเร็ว-นกเขาไม่ขัน ด้านผลสำรวจไบเออร์ฯเผยคนไทยสุขภาพแข็งแรงน้อยที่สุดใน 5 ประเทศเอเซีย-แปซิฟิก 

โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพเมื่อวันที่ 28 พ.ย.นพ.ดร.สมพล เพิ่มพงศ์โกศล แพทย์ประจำหน่วยศัลยศาสตร์ระบบปัสสาวะ ภาควิชาศัลยกรรม โรงพยาบาลรามาธิบดี แถลงผลสำรวจ”Asia Pacific Men”Heath Awareness Survey “ของบริษัทไบเออร์ เชริง ฟาร์มา เอเชีย แปซิฟิกที่โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯว่า บริษัทไบเออร์ฯได้สำรวจความตระหนักในด้านสุขภาพเพศชายเมื่อเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน 2551 ในผู้ชาย 5 ประเทศได้แก่ ออสเตรเลีย ฮ่องกง เกาหลีใต้ ไต้หวันและไทยที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไปประเทศละ 200 คนรวมทั้งสิ้น 1,000 คนโดยใช้แบบสอบถามมีประเด็นคำถามหลัก 5 ประเด็นได้แก่ 1.การใช้ชีวิตพบว่าออสเตรเลีย อยากมีเซ็กส์ที่ดี เกาหลีใต้อยากมีสุขภาพที่ดี ฮ่องกงอยากมีสังคมกับเพื่อนฝูง ไทยและไต้หวันอยากมีชีวิตมั่นคง ฐานะทางการเงินที่ดี 2.ประโยชน์การมีสุขภาพที่ดีคนไทยเห็นว่าป้องกันโรคได้ เกาหลีใต้เห็นว่าทำให้สุขภาพกายและจิตดี ออสเตรเลียสุขภาพดีทำให้มีเซ็กส์ที่ดี 3.การทำให้มีสุขภาพที่ดีคนไทยเห็นว่าต้องกินอาหารที่ดี นอนหลับพักผ่อนกลางคืนให้มากที่สุด ออสเตรเลียเห็นว่าต้องอาหารที่ดี ออกกำลังกาย ไต้หวันต้องมีการนอนหลับพักผ่อนที่ดีและฮ่องกงให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายและอาหารที่ดีน้อยที่สุด

 4.การตรวจสุขภาพประจำปีพบว่าชายไทยไม่เคยตรวจสุขภาพประจำปีถึงร้อยละ 35 มากกว่าประเทศอื่นๆรองลงมาไต้หวันและฮ่องกง 5.การรับรู้เรื่องภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชายทั้ง 4 ประเทศมีผู้ไม่ได้รับรู้ร้อยละ 51 และไทยสูงสุดร้อยละ 67 และ6.การรู้วิธีรักษาภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชาย(ทีดีเอส)ทั้ง 4 ประเทศมีผู้รู้วิธีรักษาร้อยละ11 และไทยสูงสุดร้อยละ 20 และยังได้สอบถามถึงความกังวลเรื่องภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศโดยชายเกาหลีใต้ กัวลร้อยละ40 และออสเตรเลียกังวลร้อยละ38 ส่วนชายฮ่องกง ไต้หวันและไทยมีร้อยละ19 แสดงให้เห็นว่าคนไทยมีความรู้แต่ไม่เคยปฏิบัติเพราะไปตรวจสุขภาพประจำปีน้อยกว่าประเทศอื่นๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชายไทยมีสุขภาพแข็งแรงน้อยกว่าประเทศอื่นๆ

 ”ผู้ตอบแบบสอบถามทั้ง 5 ประเทศร้อยละ 52 ระบุว่าตนเองกำลังเผชิญกับอาการสุขภาพเสื่อมถอย ซึ่งเป็นอาการที่มีความสัมพันธ์กับภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชายโดยผู้มีชายอายุ 40 ปีขึ้นไปฮอร์โมนเพศชายจะลดลงร้อยละหนึ่งทุกปี โดยเฉพาะผู้ที่ดูแลสุขภาพไม่ดี นอนหลับพักผ่อนน้อย ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ และมักปรากฎอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศหรืออีดี โรคระบบหลอดเลือดและหัวใจ ภาวะคอเลสเตอรอลสูง โรคเบาหวาน รวมทั้งภาวะโรคอ้วนลงพุงด้วย ผมเคยตรวจคนไข้ที่มีไขมันในเลือดสูงผิดปกติ จะมีภาวะฮอร์โมนเพศชายพร่อง ทำให้คุณภาพชีวิตผู้ชายลดลงอย่างมากนพ.ดร.สมพล กล่าว

 นพ.ดร.สมพล กล่าวอีกว่า การป้องกันและรักษาอาการภาวะฮอร์โมนเพศชายพร่องทำได้โดยการตรวจเลือดและใช้ยาหรือฉีดฮอร์โมนทดแทน อย่างไรก็ตาม การซื้อยาเพิ่มฮอร์โมนมากินเองมักจะไม่ได้ผลโดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากแล้วไม่รู้ตัวเพราะไม่เคยตรวจจะยิ่งทำให้มีอาการป่วยมากขึ้น จึงควรไปพบและปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจเลือดก่อน หากเลือดมีค่าพีเอสเอเกินกว่า 4% ก็อาจจะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก แพทย์จะต้องดูว่ามีโอกาสหายจากมะเร็งต่อมลูกหมากแน่นอน จึงจะฉีดฮอร์โมน แต่หากป่วยเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากขั้นหนักก็ต้องตัดอัณฑะจึงให้ฮอร์โมนได้

 นพ.สุกมล วิภาวีพลกุล จิตแพทย์ประจำคลินิกครอบครัวและสุขภาพทางเพศ โรงพยาบาลพญาไท 2 กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงฮอร์โมนเพศชายลดลงเป็นผู้ที่มีอายุ 40 ขึ้นไปจากเดิมเมื่อก่อนอายุ 60 ปีขึ้นไป มีพฤติกรรมนอนดึก ตื่นสาย รวมทั้งผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนลงพุงในอาชีพต่างๆ เช่น ตำรวจจราจร ก็บ่งบอกได้ว่าฮอร์โมนเพศชายต่ำ ซึ่งจะมีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรงเรียกว่าเตะปี๊บไม่ดัง หงุดหงิด ฉุนเฉียว ไม่มีความกระตือรือร้นในชีวิต ไม่มีอารมณ์เซ็กส์ บางคนซึมเศร้า หงอยเหงา เวลาไปหาจิตแพทย์มักจะวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า

 ”การป้องกันและรักษาภาวะฮอร์โมนเพศชายพร่องทำได้โดยผู้ชายต้องดูแลสุขภาพให้ดีนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารให้พอดี ไม่สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า และควรไปหาหมอตรวจฮอร์โมนเพศชายด้วยโดยเฉพาะคนที่นกเขาไม่ขันตอนเช้าเพราะฮอร์โมนจะหลั่งมากที่สุดช่วงเช้า รวมทั้งคนที่นอนดึกซึ่งทำให้ฮอร์โมนเพศชายลดลง รวมทั้งการกินยาหรือฉีดฮอร์โมนนพ.สุกมล กล่าว

 นพ.สุกมล กล่าวอีกว่า จากประสบการณ์ในฐานะจิตแพทย์ด้านเพศที่มีคู่สามีภรรยามาปรึกษาปัญหาเรื่องเพศนั้นพบว่าปัญหาความบกพร่องทางเพศของผู้ชายนั้นมีผลต่อชีวิตคู่ ทำให้ฝ่ายหญิงมีความทุกข์ โดยเฉพาะกรณีผู้ชายมีปัญหาหลั่งเร็ว ทำให้ผู้หญิงอารมณ์ค้าง และผู้ชายนกเขาไม่ขัน อย่างไรก็ตาม ผู้ชายมักจะอาย กลัวเสียศักดิ์ศรีความเป็นชายไม่กล้ามาหาหมอ ทำให้ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายโทรศัพท์มานัดหมอเองหรือพาตัวผู้ชายมาหาหมอ หากผู้ชายไม่ยอมมารักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ก็มีถึงขั้นทำให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายขอเลิก บางคู่เลิกกันก่อนมารักษากับหมอเพราะเรื่องของเซ็กส์ไม่สมดุลกันโดยสังเกตได้จากสามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่กี่เดือนแล้วเลิกกันเพราะเมื่อมีเซ็กส์กันแล้วไม่สมดุล เช่น ผู้ชายหลั่งเร็วทำให้ผู้หญิงอารมณ์ค้าง ผู้หญิงช่องคลอดเกร็งตัวทำให้มีเซ็กส์ไม่ได้

 

ที่มา : คมชัดลึกออนไลน์, 11 พ.ย. 2551



คนท้องเต้นแอโรบิกน้ำ ช่วยให้คลอดบุตรไม่เจ็บปวด



ยุคนท้องเต้นแอโรบิกน้ำ ช่วยให้คลอดบุตรโดยไม่เจ็บปวด

ไทยรัฐออนไลน์,28 พ.ย. 51 


หมอเมืองกาแฟแนะนำให้ผู้หญิงมีครรภ์ ควรออก กำลังด้วยการเต้นแอโรบิกในน้ำ เพราะจะให้คุณประโยชน์ เหมือนกับยาระงับปวด ช่วยให้คลอดบุตรโดยไม่เจ็บปวด

นักวิจัยโรซา เปไรรา แห่งมหาวิทยาลัยแคมปินาส ที่นครเซาเปาโล กล่าวว่า ทั้งนี้ เป็นผลจากการศึกษากับ ผู้หญิงมีครรภ์ 71 ราย โดยให้ครึ่งหนึ่งเล่นเต้นแอโรบิกในน้ำวันละ 50 นาที อาทิตย์ละ 3 วัน ส่วนที่เหลือนอกนั้น คงปล่อยให้อยู่ตามปกติ

เราได้พบว่าพอถึงเวลาคลอด ผู้หญิงที่เคยเต้นแอโรบิกในน้ำมาก่อน ร้องขอยาระงับปวดมีเพียงร้อยละ 27 เท่านั้น ผิดกับกลุ่มที่อยู่เฉยๆ ต่างพากันอ้อนวอนร้องขอยากันมากถึงร้อยละ 65”

รายงานผลการศึกษา ซึ่งเผยแพร่ในวารสารวิชาการสุขบัญญัติการเจริญพันธุ์ได้กล่าวสรุปว่า เราได้พบว่า การเต้นแอโรบิกในน้ำขณะตั้งท้อง ไม่เป็นอันตรายกับมารดาและบุตรแต่อย่างใด ที่จริงแล้วการที่คนไข้ ต้องการใช้ยาระงับปวดน้อยลง ก็ส่อว่าภาวะทางกายและใจของผู้เป็นมารดาดีขึ้นกว่าเดิมด้วย”. 



วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

6 วิธีทำลายสมอง



โดย ชัยวัฒน์ คุประตกุล


มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาอย่างปกติสมบูรณ์ และในการดำเนินชีวิตที่ไม่ประสบกับเหตุเภทภัยที่เกิดกับสมอง จากอุบัติเหตุ ถูกทำร้าย หรือจากเชื้อโรคร้าย ก็จะมีอวัยวะสำคัญที่สุดของร่างกายเหมือนกันทุกคนคือ สมอง...

ความรู้ใหม่เกี่ยวกับสมองเกิดขึ้นมากมายแทนที่ความรู้เก่า ดังเช่น ความรู้เก่าที่ว่า สมองของคนเราเกิดมาเท่าไรก็มีเท่านั้น ไม่สามารถจะเกิดใหม่ได้ แต่ในความเป็นจริงเซลล์สมองมีการเกิดใหม่ได้ สเต็มเซลล์ที่เป็นเซลล์อ่อนพร้อมจะพัฒนาเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ ของอวัยวะมนุษย์ก็พบอยู่ในสมองของผู้ใหญ่ด้วย...

จากเทคโนโลยีใหม่ๆ ของการสำรวจ เจาะตรวจสอบภายในร่างกายของมนุษย์เรา ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถมองเห็นการทำงานของสมองในสภาวะต่างๆ ก็จึงทำให้วงการวิทยาศาสตร์วันนี้ ได้ค้นพบวิธีต่างๆ มากมาย ที่จะทำให้คนเราใช้สมองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ในขณะเดียวกันก็พบว่า สมองมนุษย์ถึงแม้จะวิเศษเพียงใด แต่ก็เปราะบางอ่อนไหวต่อสิ่งกระตุ้น ทั้งที่เป็นสารเคมีที่เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและกัมมันตภาพรังสี และที่เสมือนหนึ่งไม่มีตัวตน แต่มีผลอย่างสำคัญต่อสมองคือ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก

ใครๆ ก็อยากมีสมองที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็มีอยู่มากมายที่คนซึ่งโดยปกติก็เคยเป็นคนเก่ง แต่ก็กลับกลายเป็นคนที่ใช้สมองได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ

มีคู่มือหรือวิธีมากมายที่จะกระตุ้นการใช้สมองของคนเราโดยทั่วไปให้มีประสิทธิภาพ แต่ในวันนี้ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงสิ่งตรงกันข้ามคือ คู่มือหรือวิธีที่จะทำลายประสิทธิภาพการทำงานของสมอง ด้วยความหวังว่า บ่อยๆ ที่คนเรามักจะ จำข่าวร้าย หรือคำเตือนถึงวิธีการที่ส่งผลร้ายต่อตนเองได้มากกว่าข่าวดี หรือคำแนะนำถึงวิธีการที่ดี


ต่อไปนี้เป็นวิธีหรือคู่มือการทำลายประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

 

1.โกหกเป็นประจำ
เครียด, ทำลายสมองการโกหกเป็นประจำทำให้สมองต้องทำงานหนักกว่าปกติ จริงๆ แล้วสมองของคนเรายิ่งทำงานหนักก็ยิ่งดี และมีข้อมูลจากการศึกษาทดลองทั้งกับสัตว์ทดลองและกับมนุษย์เองโดยตรงที่สนับสนุนเรื่องนี้ แต่การทำงานหนักของสมองมีอยู่ 2 อย่างคือ หนึ่ง : ทำงานหนักในด้านดี ด้านสร้างสรรค์ และสอง : ทำงานหนักในด้านไม่ดี ไม่สร้างสรรค์ เฉพาะการใช้สมองทำงานหนักในด้านสร้างสรรค์เท่านั้น จึงจะทำให้สมองมีประสิทธิภาพดียิ่งๆ ขึ้นไป

แต่คนโกหกเป็นประจำ สมองต้องทำงานหนักเป็นพิเศษในการที่จะต้องพยายามจำสิ่งที่ได้โกหกเอาไว้ และก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนของการใช้สมองทำงานหนักอย่างไม่สร้างสรรค์ การโกหกเป็นประจำจึงเป็นวิธีหนึ่งที่แน่นอน ทำลายประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

2.คิดในทางไม่ถูกต้อง
การใช้สมองคิดในทางที่ไม่ถูกต้อง เป็นอีกวิธีหนึ่งของการทำลายประสิทธิภาพการทำงานของสมองได้อย่างแน่ชัด การคิดในทางที่ไม่ถูกต้อง คือ ผิดทำนองคลองธรรม ผิดกระบวนการ ผิดจริยธรรม ผิดจรรยาบรรณ ผิดกฎหมาย ตัวอย่างเช่น การคิดหาทางร่ำรวยทางลัด การเจริญก้าวหน้าในด้านอาชีพโดยวิธีการทางลัด โดยทุกวิถีทางไม่ว่าจะเป็นการคดโกง การประจบผู้บังคับบัญชา การวางแผนทำลายเพื่อนร่วมงานเพื่อตนเองจะได้รับตำแหน่งแทน การคิดหาช่องทางกอบโกยผลประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่ เช่น การคอร์รัปชัน การแสวงหาผลประโยชน์ทับซ้อน โดยวิธีการที่แยบยล หรือผิดกฎหมาย ผิดประเพณีปฏิบัติที่ดีงาม โดยที่ไม่ต้องได้รับการลงโทษ เหล่านี้เป็นวิธีที่แน่นอนอีกวิธีหนึ่งในการทำลายประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

3.หมกมุ่นอบายมุข
การคิดหมกมุ่นอยู่กับอบายมุข เช่น การพนัน คลั่งหวย ฯลฯ ทำให้สมองต้องทำงานหนักทั้งเวลาตื่นและหลับ เพราะเวลาตื่นก็จะหมกมุ่นหาแต่อาจารย์เด็ด เลขเด็ด ตีความหมายของการฝันให้เป็นตัวเลข เวลาหลับก็จะฝันแต่เรื่องเป็นตัวเลข พบเห็นสิ่งผิดปกติในธรรมชาติก็จะคิดเป็นตัวเลข การหมกมุ่นกับอบายมุขทำลายทั้งประสิทธิภาพการทำงานของสมองและคุณภาพชีวิต

4.(เจ้า) คิด (เจ้า) แค้น
คนเจ้าคิดเจ้าแค้นเป็นประจำจะมีสภาพเป็นคนหมกมุ่นอยู่กับความคิดที่ไม่เป็นมงคล สมองจะถูกทำลายเสมือนหนึ่งถูกอาบด้วยยาพิษเป็นประจำ ก็จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลในการทำลายสมอง

5.เครียด ฟุ้งซ่าน
ความเครียด ความฟุ้งซ่าน ทำให้สมองต้องทำงานหนักอย่างผิดทาง ทำให้สมองหลั่งสารหรือขาดสารบางอย่างที่หล่อเลี้ยงและกระตุ้นให้สมองได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดอาการซึมเศร้าหรือฟุ้งซ่านอย่างหนัก ถึงขั้นขาดสติยั้งคิดทำร้ายตนเองหรือฆ่าตัวตาย

6.ไม่ยอมคิด
ตรงกันข้ามกับคนที่คิดมากอย่างผิดทาง ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงอย่างหนัก ก็คือคนที่ไม่ยอมคิดอะไรเป็นพิเศษขึ้นมาเลย นอกเหนือไปจากการคิดเพื่อชีวิตอยู่ไปวันๆ เช่น การกินอาหาร การทำงานตามหน้าที่อย่างเคร่งครัดเท่านั้น เผินๆ อาจดูคล้ายผู้บรรลุในสัจจะแห่งชีวิตและธรรมแบบ เต๋า

แต่...ความว่างเปล่าของสมองแตกต่างอย่างมากกับผู้บรรลุแบบ เต๋า 

ยังมีอีกหรือไม่ วิธีทำลายประสิทธิภาพการทำงานของสมอง?

คำตอบคือ มี!

แต่ 6 วิธีที่กล่าวถึงนี้ เป็นวิธีที่ต้องระวังกันมากที่สุด! 

 

www.sanook.com   


 

เร็วๆเข้า


สวัสดีครับคุณลุงแอนดรูว์หนูอยากทราบว่า "เร็วๆ เข้า" ภาษาอังกฤษจะพูดว่าอะไรคะคุณแม่บอกว่าต้องใช้ "Hurry! Hurry!" จากTina 

คุณแม่พูดถูกครับคำว่า รีบ แปลเป็น Hurry แต่ในสถานการณ์อย่างนี้ที่เราพูดในเชิง ออกคำสั่งผมว่าใช้  Hurry up! จะธรรมชาติมากกว่าแต่ระวังนะครับเพราะ ไม่ควรใช้กับคนแปลกหน้าหรือผู้มีอายุมากกว่า เพราะฟังแล้วห้วนไปหน่อย ใช้กับพี่น้องในครอบครัวเดียวกันได้หรือกับเพื่อนสนิท หรือในกรณี "ฉุกเฉิน" เช่นปวดท้องมาก และรอหน้าห้องน้ำเป็นเวลา 20 นาทีเพราะมีคนใช้อยู่ คำอื่นๆ ที่ใช้แทน Hurry up! หรือ "เร็วๆ เข้า"  มีดังนี้ครับ

Please hurry. (สุภาพกว่าอีกเยอะ)

Come on!  (แรงพอๆกับ Hurry up!)

Get a move on. (เช่นกัน?แรง)

Quick sticks!  (คุณแม่ผมชอบใช้มันน่ารักดีแต่ไม่ทราบว่ายุคนี้ยังใช้อยู่หรือเปล่า)

Shake a leg. (แปลตรงตัวคือเขย่าขาหน่อย แต่ความหมายจริงคือ เร็วซิๆ)

พบกันคราวหน้าอย่าลืมว่าภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียวครับ

ที่มา  :  คมชัดลึก ออนไลน์, 14  พ.ย. 2551

ประวัติศาสตร์ไม่ได้มีฉบับเดียว เกี่ยวกับ "พระบรมรูปทรงม้า" ร.5


เปิดใจให้กว้าง ประวัติศาสตร์ไม่ได้มีฉบับเดียว เกี่ยวกับ "พระบรมรูปทรงม้า" ร.5


คอลัมน์ สุวรรณภูมิ สังคมวัฒนธรรม

โดย ไกรฤกษ์ นานา


ที่มาของพระบรมรูปทรงม้าก็ยังเป็นข้อถกเถียงอยู่เสมอๆ ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าประวัติศาสตร์ไทย "ฉบับเก่า" ยังยึดติดอยู่กับคำบอกเล่าของคนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง ที่โยง "การเสด็จประพาสยุโรป พ.ศ.2450" กับ "พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก พ.ศ.2451" เข้าไว้ด้วยกันโดยบังเอิญ ทั้งๆ ที่พระบรมรูป "มิใช่" เหตุบังเอิญที่ถูกสร้างขึ้น นี่เป็นประเด็นแรกที่สร้างความสับสนเรื่อยมา

ส่วนประเด็นที่ 2 คือ การที่พระบรมรูปองค์นี้ "มิใช่" ราชานุสาวรีย์องค์แรกประจำรัชกาลนี้ โดยมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือดังต่อไปนี้

ประเด็นแรก : เรื่องแรงบันดาลใจในการสร้าง

การที่นักประวัติศาสตร์บางส่วนหลับหูหลับตาเขียนว่า แรงดลใจในการสร้าง เกิดจากการที่รัชกาลที่ 5 เสด็จไปทอดพระเนตรอนุสาวรีย์พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงม้า ตั้งอยู่หน้าพระราชวังแวย์ซายส์ในประเทศฝรั่งเศสนั้นเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นและไม่มีหลักฐานยืนยัน ข้อมูลล่าสุดที่สามารถเปิดเผยความลับทั้งหมด บัดนี้พบแล้วว่ามีจริงๆ มันเป็นคำอธิบายที่ซ่อนอยู่ในพระราชหัตถเลขาของรัชกาลที่ 5 ที่ทรงมีถึงเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) บนเรือซักซัน ในขณะที่เสด็จราชดำเนินไปยุโรป ระบุถึงความคิดเรื่องพระบรมรูปทรงม้าเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 15 เมษายน ร.ศ.126 (พ.ศ.2450)


ถึง พระยาสุขุม

"...หนังสือฉบับนี้มีความมุ่งหมายที่จะอธิบายโทรเลขนั้นให้แจ่มแจ้ง คือ พระยาสุขุมจะนึกได้ว่ามีความคิดอย่างหนึ่ง ซึ่งค้างอยู่ช้านานว่าจะเอาเงินที่ข้าราชการเรี่ยรายในการทำบุญแซยิดอายุครบ 50 อันมีเหลืออยู่นั้น ก่อสร้างซุ้มประตูที่ถนนเบญมาศอันต่อกันกับถนนดวงตะวัน และถนนราชดำเนินนอก เพื่อจะให้เป็นซุ้มประตูสำหรับวังสวนดุสิต ความคิดอันนี้ได้คิดเมื่อครั้งพระยาสุริยาเป็นเสนาบดี มีหน้าที่สามคนร่วมกันคือพระยาสุริยานุวัตร กรมหลวงนริศร กรมดำรงถึงได้วาดอย่างขึ้นดูบ้างแล้ว แต่ก็เลยติดค้างอยู่ตามเคย มาภายหลังพระยาสุริยาคิดเห็นว่าน่าจะหล่อ "พระบรมรูปขี่ม้า" ตั้งบนหลังซุ้มนั้น แต่ไม่มีโอกาสที่จะได้ทำรูป ก็ระงับมาอีก..."

สยามินทร์(1)

ข้อมูลใหม่ที่พบนี้ลบล้างความสงสัยที่ค้างคาใจผู้คนมานาน ความจริงที่เก็บงำไว้ถูกเปิดเผยขึ้นในที่สุด เมื่อรัชกาลที่ 5 มีพระราชดำรัสถึงเจ้าพระยายมราชอย่างเงียบๆ ตรัสสั่งงานเกี่ยวกับโครงการใหญ่ส่วนพระองค์ที่ไม่ค่อยมีใครรู้ แต่ดำเนินมานานกว่า 3 ปีแล้ว ในอันที่จะปั้นพระบรมรูปในลักษณะที่ "กำลังทรงม้า" เพื่อทำเป็นซุ้มประตูทางเข้าพระราชวังดุสิตที่สร้างขึ้นใหม่

อันพระบรมราชวินิจฉัยเดิมมีอยู่ว่า จะทรงใช้เงินบริจาคที่เหลือจากงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 50 พรรษา ที่รวบรวมได้ 5 ปีก่อนหน้านั้น (พ.ศ.2446) และมิได้เกี่ยวกับงานรัชมังคลาภิเษกที่เตรียมกันนั้นเลย (พ.ศ.2451) จึงเป็นคนละเรื่องกันตั้งแต่ต้น และรู้เฉพาะบุคคลใกล้ชิดที่อยู่ในวงในเพียง 2-3 คนเท่านั้น



พระบรมรูปขี่ม้าบนหลังซุ้มประตู ที่ลานพระราชวังดุสิตจึงเป็นข้อเท็จจริงที่ไขปริศนามูลเหตุการสร้างที่หักล้างทฤษฎีแห่งความเชื่อที่ไม่มีหลักฐานรองรับออกไปจนหมด

ประเด็นที่สอง : เรื่องการพิสูจน์เอกลักษณ์

เท่าที่ผ่านมารายละเอียดจากหนังสือประวัติศาสตร์เล่มเดิมๆ ที่พบในประเทศไทย ให้ข้อมูลที่ชี้นำไปในทางทิศเดียวกันว่า พระบรมรูปทรงม้า ร.5 ณ ลานพระราชวังดุสิต เป็นองค์แรก และองค์เดียวของรัชกาลที่ 5 ที่เคยถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2451 (ค.ศ.1908) ฐานข้อมูลนี้ไม่เคยได้รับการตรวจสอบ จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้วมานี้

นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนตุลาคม 2550 รายงานการค้นพบข้อมูลใหม่จาก น.ส.พ.อังกฤษฉบับหนึ่งสมัย พ.ศ.2417 (ค.ศ.1874) เขียนว่ารัชกาลที่ 5 (KING OF SIAM) ได้ทรงมีพระบรมราชโองการให้ห้างฮันต์ แอนด์โรสเกล (MESSRS. HUNT AND ROSKELL) ณ กรุงลอนดอน หล่อพระบรมรูปทรงม้าของพระองค์ขึ้นด้วยวัสดุเงิน (SILVER) ภายหลังการเสด็จฯประพาสเมืองปัตตาเวียและสิงคโปร์ ใน ค.ศ.1871 การเสด็จไปเยือนอาณานิคมของยุโรปเมื่อต้นรัชกาล สร้างแรงบันดาลใจให้กษัตริย์หนุ่มชนมายุเพียง 17 พรรษา เกิดแนวคิดที่จะเลียนแบบการสร้างเมือง และการวางผังเมืองตามวิธีคิดของชาวยุโรป สิ่งแรกๆ ที่ทรงกระทำคือ การตัดถนนและสร้างจัตุรัสกลางเมืองแบบในยุโรป รูปปั้นพระบรมรูปทรงม้า จาก ค.ศ.1874 เป็นขนาดย่อส่วน เพื่อนำเข้าตกแต่งในพระบรมมหาราชวังเป็นตัวอย่าง (2)

และจากภาพถ่ายเก่าภาพหนึ่ง ถ่ายในสมัยรัชกาลที่ 5 (ดูภาพประกอบ) ยืนยันว่าพระบรมรูปทรงม้าขนาดย่อส่วน ซึ่งเป็นแบบเดียวกันกับที่ น.ส.พ.อังกฤษโฆษณาไว้ ถูกสร้างขึ้นและนำเข้ามาประดิษฐานอยู่ภายในมุขกระสันด้านตะวันออก ชั้นกลางของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทจริง หมายความว่าพระบรมรูปทรงม้า ร.5 มีอยู่ในประเทศไทยมากกว่าหนึ่งองค์แล้วตั้งแต่ยังไม่สิ้นรัชกาลที่ 5 ข้อเท็จจริงทั้งหมดนี้ช่วยทำให้ประวัติศาสตร์ดูเข้มข้นและน่าเชื่อถือมากขึ้น ที่สำคัญ เราต้องเปิดใจรับรู้ข้อมูลใหม่ๆ บ้าง

บรรณานุกรม

(1) สำเนาพระราชหัตถเลขาส่วนพระองค์ ร.5 ถึงเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) พิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ เจ้าพระยายมราช 10 เมษายน พ.ศ.2482

(2) น.ส.พ. THE ILLUSTRATED LONDON NEWS ฉบับวันที่ 17 มกราคม ค.ศ.1874

ที่มา  :  มติชนรายวัน,วันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551,หน้า 20


นั่งสมาธิ...สวยจากภายในเพื่อสุขภาพ



ด้วยเวลาที่น้อยลง และการงานที่รับผิดชอบมากขึ้น ผู้หญิงหลายคนต่างพากันไปออกกำลังที่ฟิตเนส

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าการออกกำลังกายที่ดีอีกอย่างหนึ่งคือการนั่งสมาธิ ฝึกจิตใจ และร่างกายให้ทำงานอย่างเป็นระบบ การนั่งสมาธิมีอยู่หลายแบบ หลากหลายเทคนิค และหลายเหตุผล และเพื่อให้การนั่งสมาธินำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดี

อย่างแรกผู้เริ่มต้นนั่งสมาธิควรเลือกสถานที่ที่ผ่อนคลาย ไม่มีอะไรมารบกวน เพื่อทำให้จิตใจสงบให้มากที่สุด จากนั้นนั่งในท่าที่สบาย การเลือกท่าทางในการทำสมาธิเป็นสิ่งสำคัญมาก ควรเลือกท่าที่ตนเองชอบมากที่สุด ถ้าหากไม่ชอบนั่งหลังตรง ตัวตรง เพราะรู้สึกไม่สบาย คุณอาจจะเลือกท่านอน นั่งพิง หรือแม้แต่กำลังเดินก็ได้ การรวบรวมความสนใจ ไปที่จุดใดจุดหนึ่งซึ่งเป็นหัวใจของการทำสมาธิ และอย่าเครียดจนเกินไป ในการนั่งสมาธิ มีหลายครั้งย่อมมีเรื่องบางเรื่องที่ผ่านเข้ามาในใจ ถ้าหากเป็นเช่นนั้น คุณสามารถปล่อยใจให้คิดถึงมันได้บ้างเป็นระยะ หากเมื่อเรียบร้อยแล้ว ขอให้ดึงสมาธิกลับมาที่เดิมให้ได้

การนั่งสมาธิเพื่อสุขภาพ เปรียบได้กับการให้ยากับจิตใจ เพราะการนั่งสมาธิจะทำให้สมองปลอดโปร่ง รวมทั้งทำงานอย่างเป็นระบบ ดังนั้น จึงพบว่าผู้ที่นั่งสมาธิเป็นประจำ จะมีความทรงจำที่ดี ในขณะที่การทำงานของร่างกายก็สัมพันธ์กันดียิ่งขึ้น ที่เห็นได้ชัดคือ ระบบต่างๆ ของร่างกายสามารถทำงานได้รัดกุมมากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของระบบประสาท รวมถึงเรื่องการทำงานของหัวใจ การหายใจ ระบบย่อยอาหาร ซึ่งจะดีขึ้นโดยอัตโนมัติ

นอกจากนั้น ยังช่วยให้สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม คนที่เหมาะสมจะนั่งสมาธิ คงจะไม่พ้นผู้มีอาการเหนื่อยล้าโดยไม่มีสาเหตุ หดหู่ คิดมาก จิตใจไม่ค่อยสบาย รู้สึกเจ็บปวดตามร่างกายเป็นประจำ เคร่งเครียด นอนไม่หลับ หรือมีอาการอ่อนไหวมากจนเกินไปกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

นักวิทยาศาสตร์จากสถาบัน NCCAM (National Center for Complementary and Alternative Medicine) ได้รับรู้ถึงประโยชน์ของการนั่งสมาธิด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย พวกเขาศึกษาถึงส่วนสมองของมนุษย์ และความสัมพันธ์ของระบบทั้งสอง ได้แก่ Sympathetic Nervous System และ Para Sympathetic Nervous System ภายในร่างกายอย่างละเอียด พบว่าการโต้ตอบของร่างกายสัมพันธ์กับการทำงานเป็นอย่างมาก การนั่งสมาธิเปรียบเสมือนการพักผ่อน ผ่อนคลาย และสร้างความเป็นระบบให้กับร่างกาย

บทสรุปแล้ว นักวิทยาศาสตร์จึงเชื่อว่า การนั่งสมาธิส่งผลโดยรวมต่อองค์ประกอบของร่างกาย อันเป็นเรื่องสำคัญของสุขภาพโดยรวม

แล้วคุณละ เคยนั่งสมาธิหรือยัง หากต้องการสวยทั้งกาย ใจ จากภายในก็มาลองนั่งกันดุนะครับ    

 

ที่มา  :  กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์, 14  พ.ย. 2551



วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ปลูกต้นไม้เหมาะกับทิศ


สำหรับใครที่กำลังต้องการปลูกต้นไม้ วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีการปลูกต้นไม้ให้เหมาะกับทิศมาบอก...

- ทิศเหนือ ถ้าหากอาคารมีความสูงมากกว่าหนึ่งชั้น หรือประมาณ 6 เมตร เงาของบ้านจะทำให้ต้นไม้ที่ปลูกอยู่ใกล้บ้านได้รับแสงแดดน้อย หรือไม่ได้รับแสงเลย ควรเลือกพันธุ์ไม้ที่ชอบร่มรำไร เช่น สาวน้อยประแป้ง เขียวหมื่นปี พลูชนิดต่าง ๆ และพันธุ์ไม้ประเภทใบอยู่ในที่ร่มได้ และพันธุ์ไม้คลุมดินที่ชอบร่ม ได้แก่ พลูเลื้อยต่าง ๆ พลูกำมะหยี่ พลูทอง เฟิร์น สวีดิชไอวี่ ดิปลี ไม้ตระกูล หนวดปลาดุก เปปเปอร์ และลิ้นมังกรชนิดต่าง ๆ

- ทิศใต้ เป็นทิศที่แดดเข้าตลอดวัน และเกือบตลอดปี เพราะประเทศไทยพระอาทิตย์อ้อมใต้เป็นเวลานาน การใช้ต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา จึงเป็นการป้องกันแดดได้อย่างดี พันธุ์ไม้ที่ควรเลือกปลูกจึงควรมีใบข้างบนทึบและโปร่งด้านล่างเพื่อให้ลมพัดผ่าน พันธุ์ไม้ที่ให้ร่มเงาและใบไม้ร่วง คือกระทิง สารภี มะฮอกกะนี มะขาม แคแสด ส่วนพันธุ์ไม้ที่ให้ดอกสวย แต่ผลัดใบทั้งต้นไม้บางฤดู ได้แก่ กัลปพฤกษ์ กระพี้จั่น เสลา คูน หางนกยูง เหลืองอินเดีย เป็นต้น พันธุ์ไม้ดอกหอมที่ควรปลูกด้านนี้ ได้แก่ จำปี จำปา บุหงา ส่าหรีโมก พิกุล ประยงค์ แก้ว กันเกรา ปีบ ตีนเป็ดน้ำ ลำดวน

- ทิศตะวันตก ทิศใต้ได้รับแดดจัดตลอดบ่าย ควรปลูกไม้ที่ให้ร่มเงา และให้ดอกตามฤดูกาล เช่น เสลา คูน กัลปพฤกษ์ ประดู่แดง ประดู่อินเดีย พันธุ์ไม้ทิศนี้จะช่วยกันแดดช่วงบ่าย ทำให้ผนังบ้านด้านนี้เย็น และช่วยประหยัดพลังงานในเวลาค่ำคืน ถ้าเป็นด้านที่มีพื้นที่มากพอจะปลูกไม้ใหญ่ให้ร่มเงา อาจปลูกอโศกอินเดีย หมากเขียว หมากเหลือง กล้วยพัด หากพื้นที่น้อยอาจใช้พันธุ์ไม้ไต่ผนัง เช่น ตีนตุ๊กแก ดีปลี พลูบาง จะช่วยกันแดดได้ดีขึ้น

- ทิศตะวันออก ทิศนี้จะได้รับแดดครึ่งวัน หลังเที่ยงไปแล้วจะได้รับร่มจากตัวบ้าน ควรปลูกไม้ที่ไม่ต้องการแดดตลอดวัน เช่น ไผ่ (ใบจะร่วงน้อยถ้าได้แดดเช้า) หรือพันธุ์ไม้ที่มีใบละเอียด หรือใบเล็กจะสวยงามเมื่อมองผ่านแดดตอนเช้า ได้แก่ ปีบ เลี่ยน โมก พู่ชมพู มะขามป้อม หลิวจีน ขิงชัน อรพิม เป็นต้น ส่วนไม้พุ่มได้แก่ ฤษีผสม ซัลเวีย ปีโกเนีย พรมญี่ปุ่น ไผ่แคระ ไม้ตระกูลใบเงิน ใบทอง ใบนาก และหมากผู้หมากเมีย

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าใครจะปลูกต้นไม้ ก็ลองเลือกต้นไม้ให้เหมาะกับทิศดูต้นไม้จะได้โตเร็วและแข็งแรง.

ที่มา  :  เดลินิวส์ ออนไลน์, 13  พ.ย.  2551



เคล็ดลับเกี่ยวกับน้ำหอม



ใครที่ต้องใส่น้ำหอมเป็นประจำ วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องเกี่ยวกับน้ำหอมมาฝาก...

- จุดสำคัญสำหรับการพรมน้ำหอม คือ บริเวณลำคอ แขน และด้านหลังหัวเข่า กลิ่นหอมมักจะลอยตัวขึ้นด้านบน ดังนั้นการพรมน้ำหอมที่ด้านหลังหัวเข่า จะส่งผลให้เกิดความหอมทั่วเรือนร่างได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้การฉีดน้ำหอมไปในอากาศด้านหน้าและเดินผ่านละอองน้ำหอมก็จะทำให้ละอองน้ำหอมติดอยู่บนเส้นผมของคุณอีกด้วย ส่วนระยะห่างในการฉีดน้ำหอมตามจุดสำคัญต่าง ๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ควรจะฉีดน้ำหอมให้ห่างจากตัวประมาณ 6 นิ้ว

- การเติมน้ำหอมในระหว่างวันนั้นขึ้นอยู่กับความเข้มข้นและลักษณะของน้ำหอมแต่ละชนิด น้ำหอมที่สกัดมาจากพรรณไม้ตะวันออก ดังเช่นกลิ่นโอเรียนทอลและวูดดี้ มักจะติดทนนานกว่ากลิ่นที่สกัดมาจากดอกไม้หรือผลไม้ น้ำหอมประเภท โอ เดอ เพอร์ฟูม ก็มักจะมีกลิ่นหอม เข้มข้นกว่าโคโลญจน์ เป็นต้น ตามปกติแล้วกลิ่นของน้ำหอมจะติดทนนานประมาณ 4-6 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็จะสามารถพรมน้ำหอมได้อีกครั้ง

อย่างไรก็ตามไม่ควรที่จะฉีดน้ำหอมมากเกินไป เพราะกลิ่นจะฉุนจัดและไม่สร้างความประทับใจให้กับคนรอบข้าง หากต้องการกลิ่นหอมแบบติดลึก แต่บางเบา ควรจะทาโลชั่นหรือครีมบำรุงผิวของกลิ่นน้ำหอมนั้นก่อนและจึงตามด้วยการพรมน้ำหอม ซึ่งสามารถทำให้กลิ่นหอมติดทนนาน และเป็นที่ประทับใจสำหรับตัวเราและคนรอบข้างด้วย

อายุของน้ำหอมขึ้นอยู่กับประเภทของน้ำหอมนั้น ๆ น้ำหอมแต่ละกลิ่นก็จะมีอายุการใช้งานที่แตกต่างกัน วิธีที่ดีที่สุดที่ทำให้น้ำหอมสามารถใช้ได้นานที่สุด คือหลีกเลี่ยง แสงแดดและความร้อน

รู้อย่างนี้แล้ว ลองหันมาเพิ่มเสน่ห์ให้ตัวเองโดยการใส่น้ำหอมกันดีกว่า.

ที่มา  :  เดลินิวส์  ออนไลน์, 11  พ.ย.  2551



ไดร์ผมให้สวยด้วยตนเอง


ใครที่อยากผมสวย โดยไม่ต้องเข้าร้านทำผม วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีการไดร์ผมให้สวยด้วยตัวเองมาฝาก....

- ควรใช้ไดร์เป่ากับผมชื้นๆ ไม่ใช่ผมเปียก
จะไดร์ผมเองให้ได้ดี ผมต้องชื้น ๆเพื่อให้ได้ความเรียบ และถ้าใช้แปรงกลมช่วยเป่าไดร์ขณะที่ผมแห้งบ้างแล้ว ก็จะทำให้ผมเสียน้อยลง เพราะผมเปียกจะอ่อนแอ และไม่ทนทานกับการดึง การม้วนเท่ากับผมแห้ง

- เริ่มที่โคมผมก่อนเสมอ
การไดร์ที่โคนผมก่อนจะช่วยให้ผมดูหนาเต็มและยังช่วยวางพื้นฐานรูปทรงที่ดีให้กับสไตล์ผมทุกแบบที่ต้องการ เมื่อไดร์โคนผมเสร็จแล้ว จะสามารถจัดทรงผมส่วนที่เหลือได้ง่ายขึ้น ถ้าไดร์ส่วนอื่นก่อนแล้วกลับมาไดร์โคน ผมอาจดื้อไม่ยอมไปในทิศทางที่ต้องการ จึงยากที่จะจัดทรงให้สวยได้

- ไดร์ไม่ทั่ว ผมเสียทรง
ควรเป่าผมให้แห้งสนิททั้งศรีษะ โดยเริ่มจากผมด้านในทีละช่อจนแห้งจริง ๆ แล้วจึงไดร์ช่อผมที่อยู่ชั้นนอกถัดมา การไดร์ทีละชั้นแบบนี้จะช่วยให้เส้นผมเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติ และอยู่ทรงสวยได้นานกว่าปล่อยให้ผมบางส่วนเปียกชื้นแม้เพียงเล็กน้อย

- สลับเป่าลมร้อนกับลมเย็น
เทคนิคหนึ่งที่คุ้มค่าในการลองคือ การใช้ลมร้อนสลับกับลมเย็นในการเป่าผม เพราะว่าความร้อนจะช่วยทำให้ผมเป็นเกลียวหรือเรียบได้เร็ว ส่วนลมเย็นจะช่วยให้เกลียวผมอยู่ตัวและเรียบนาน

- เลือกไดร์ให้เหมาะ
เครื่องเป่าผมที่มีกำลังเกิน 1800 วัตต์จะดีกว่าวัตต์ต่ำ เพราะทำให้ผมแห้งและจัดทรงได้เร็ว ผมจึงไม่ต้องเจอกับความร้อนนาน ๆ อีกทั้งยังควรมีปรับลมได้หลายระดับ และมีปุ่ม "Cool" ซึ่งทำให้ปรับเป็นลมเย็นได้ในทันทีและไดร์เป่าผมรุ่นใหม่ยังเพิ่มเครื่องพ่นไอออนประจุลบ เพื่อช่วยรักษาสุขภาพผม เพราะประจุลบที่ปล่อยลงไปเคลือบเส้นผมขณะเป่า จะช่วยเก็บความชุ่มชื้นเข้าสู่แกนผม ผมจึงเสียน้อยลง

- ป้องกันผมจากความร้อน
ไม่มีวิธีใดที่สามารถป้องกันเกล็ดผมจากความร้อนขณะไดร์ได้เต็มร้อย แต่การใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันความร้อนก่อนไดร์ผมก็ยังเป็นเรื่องจำเป็น

ถ้าอยากสวย ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้. 

ที่มา  :  เดลินิวส์ ออนไลน์, 10  พ.ย.  2551



พุง...พุง ไม่อยากมีพุง..ทำไงดีนะ?






หลายคนที่มีรูปร่างอ้วนๆก็พยายามที่จะลดน้ำหนัก เพื่อไม่ให้หน้าท้องของตัวเองเวลาเดินเด้งไปมา ก็เลยพากันหาสาเหตุกันว่าพุงป่องนั้นเกิดจากสาเหตุใดบ้าง หาใช่เกิดจากรับประทานอย่างเดียว ลองมาศึกษากันว่าแท้จริงมาจากสาเหตุใดบ้าง

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : ลองเรียนรู้สักนิดเพื่อหาทางกำจัดพุงป่องๆ แบบถาวรกันดีกว่า

1. การแพ้อาหาร

บางครั้งอาการท้องบวมอาจเกิดจากอาการระคายเคืองหรือการติดเชื้อ

ของระบบย่อยอาหารในช่องท้อง หรืออาจรวมถึงการรับประทานยา

บางชนิดที่ทำให้บวมน้ำแล ะยังรวมไปถึงการมีรอบเดือนด้วย แต่ถ้า

คุณรู้สึกว่าหน้าท้องของคุณบวมขึ้นผิดปกติหลัง ทานอาหารบางชนิดให้สันนิษฐานได้ว่าคุณน่าจะมีอาการแพ้อาหารเข้าให้แล ้ว จากสถิติพบว่าอาหารจำพวกแป้งและนมมีโอกาสทำให้เกิดอา การแพ้และบวมมากที่สุด

2.อาหารลดน้ำหนัก

คนที่ชอบหวังพึ่งอาหารลดน้ำหนักจำพวกโลว์-แฟ้ต หรือแฟ้ต-ฟรีมัก

จะมีปัญหาพุงป่อง เนื่องจากคุณจะคิดว่ามันเป็นอาหารแคลอรี่ต่ำ จึง

สามารถกินมากกว่าปกติ อาหารพวกนี้อาจมีพลังงานน้อยกว่าปกติ แต่

มันก็ไม่ได้น้อยขนาดนั้น ทางที่ดีหันมารับประทานผักผลไม้ให้มากขึ้น

จะดีกว่า รวมทั้งรับประทานอาหารที่มีเอนไซม์ช่วยย่อย อาทิ น้ำมะนาว

น้ำส้มสายชูสกัดจากแอ๊ปเปิ้ล หรือผักสดต่างๆ

3.กินช้าๆ แต่บ่อยๆ

เลิกนิสัยรีบกินรีบไปซะที ค่อยๆ เคี้ยวอาหารช้า ๆ เพื่อให้ประสาทรับรู้

ของเราค่อยๆ รู้สึกอิ่ม และในแต่ละมื้ออย่ากินให้เยอะจนอิ่มแน่นท้อง

คุณควรแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อย่อย ๆ แต่อย่ากินขนมจุบจิบจำพวก

ขนมนมเนยต่าง ๆ เลือกกินผลไม้หรือธัญพืช เมื่อหิวระหว่างมื้อจะดีกว่า

4.ขจัดสารพิษ

แอลกอฮอล์ คาเฟอีน และนิโคตินในบุหรี่มีผลร้ายต่อระบบเผาผลาญ

อาหารของร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายบวมน้ำและยังก่อให้เกิดเซลลูไลท์

อีกด้วย ดังนั้นเมื่อรู้เหตุดังนี้แล้วก็แค่ลดละเลิกการดื่มเ ครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และคาเฟอีนต่าง ๆ และเลิกสูบบุหรี่ไปซะด้วยเลยในเวลา

เดียวกัน

5.หัดกินสักนิด

ในกระเพาะของเราจะมีแบคทีเรียอาศัยอยู่เพื่อช่วยในการย่อยอาหาร

แต่บางครั้งแบคทีเรียเหล่านี้ก็อาจถูกกำจัดไปจากสภาว ะต่าง ๆ ไม่ว่า

จะเป็นการเจ็บป่วยหรือการรับประทานอาหารบางชนิ ด แนะนำให้คุณ

รับประทานโยเกิร์ตรสธรรมชาติเป็นประจำเพื ่อปรับสมดุลแบคทีเรีย

กลุ่มที่เป็นประโยชน์ จะช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นและ

ช่วยให้หน้าท้องของคุณบวมน้อยลงด้วย

6.ดื่มน้ำให้มาก

น้ำเป็นเสมือนขุมทรัพย์แห่งความงามจริงๆ รวมไปถึงอาการบวมน้ำนี้

ด้วยคุณควรดื่มน้ำให้ได้อย่าง ต่ำ 8 แก้วต่อวัน แต่วิธีการดื่มนั้นอย่า

ดื่มหมดแก้วในคราวเดียวควรจิบ น้ำบ่อยๆ เรื่อยๆ เพราะการที่คุณดื่ม

น้ำแก้วใหญ่ในคราวเดียว จะทำให้กระเพาะปัสสาวะของคุณขยายใหญ่

ถ้าจะให้ดีลองเลือกดื่มชาสมุนไพร อาทิ ชาเป็ปเปอร์มินต์ หรือชา

คาโมไมล์แทนน้ำเปล่า โดยเฉพาะการดื่มในช่วงหลังอาหาร จะช่วย

ให้อาหารที่คุณรับประทานเข้าไป ย่อยได้ดีขึ้นด้วย

7. บริหารกล้ามเนื้อหัวใจ

ผู้หญิงหลายคนเชื่อว่าการซิตอัพทุกวันจะช่วยให้หน้าท้องแบนเรียบ

แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย แม้ว่าการซิตอัพจะช่วยสร้างกล้ามท้อง แต่

ถ้าร่างกายของคุณนั้นยังปกคลุมด้วยชั้นไขมันแล้วล่ะก็หน้าท้องเรียบ

ตึงก็จะไม่มีวันโผล่มาให้เห็นหรอก ดังนั้นจึงจำเป็นที่คุณจะต้องออก

กำลังกายแบบคาร์ดิโอ เป็นประจำอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน อย่าง

ต่ำ 3 วันต่อสัปดาห์เพื่อให้ร่างกายได้เผาผลาญไขมันออกไป ผนวก

กับการซิตอัพ คราวนี้แหละสวยตึงแน่นอน

8. หายใจลึกๆ

เมื่อคุณหายใจเข้าออกแบบลึกๆ จะช่วยให้ร่างกายจะคลายความ

ตึงเครียดออกมา รวมทั้งยังช่วยในการเติมอ็อกชิเจนและพลังชีวิตให้

ร่า งกายด้วย ทุกครั้งที่คุณหายใจให้พยายามหายใจให้ลึกเข้าไป

ยังท้อง อย่าหยุดเพียงแค่เก็บลมไว้ในช่องอกการหายใจเข้าออกจาก

ท้องเป็นนิสัยจะช่วยกระชับให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็ งแรงมากยิ่งขึ้น

9. นวดกระชับหน้าท้อง

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการนวด ช่วยได้ จริงๆ เนื่องจากการนวดท้องนั้น

ช่วยไล่ลมที่กักเก็บไว้ในช่องท้องได้ และช่วยทำให้ระบบย่อยอาหาร

ทำงานได้ดีขึ้นด้วย ณ วิธีการนวดก็ไม่ยาก เพียงวางฝ่ามือลงบนท้องแล้วนวดวนตามเข็มนาฬิกา ถ้าอยากเห็นผลลัพธ์เร็วขึ้น คุณอาจใช้ครีม

จำพวกกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องร่วมด้วย ก็ได้

เป็นไงบ้างได้อ่านสาเหตุการมีพุงแล้วหรือยัง แล้วคุณละจะปฎิบัติกันได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง อยากมีหุ่นสวยไม่มีพุงก็ปฏิบัติได้แล้ว เปลี่ยนวิธีการกินใหม่กันนะครับท่าน

 

ที่มา   :   กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์, 13  พ.ย.  2551















วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

At a glance

มองแวบ ! เดียว

 

วันนี้ดีใจที่ได้รับอีเมล จากยุโรป ส่งมาโดยนักศึกษาไทยที่กำลังเรียนปริญญาเอกอยู่ที่โน่น ผมดีใจจัง เพราะนั่นแสดงว่าผมเป็นนักเขียนระดับอินเตอร์เชียวนะครับ รอตั้งนานกว่าจะเรียกตัวเองแบบนี้ได้

คำถามจาก น้องเอกรินทร์ คือ วลี at a glance แปลว่าอะไร คำตอบไม่ยากครับ คำว่า glance เป็นได้ทั้งนามและกริยาที่แปลว่า มองแวบเดียว  เช่น

I glanced at her, and she smiled. (ผมมองเธอแวบเดียว และเธอยิ้มก็ตอบ)

Please have a glance over my report before I send it to the boss. (กรุณาช่วยอ่านรายงานผมก่อนที่ผมส่งไปให้เจ้านายได้ไหมครับ)

จากคำนี้เราได้วลี at a glance ซึ่งคล้ายกับที่คนไทยพูดว่า ดูเผินๆ ใช้เมื่อเรามอง หรือดูอะไรแวบๆ และให้ความคิดเห็นโดยไม่ตรึกตรองหรือประเมินอย่างลึกซึ้ง เช่น

At a glance, I’d say Thailand’s economy is in trouble. (ดูเผิน ๆ ผมว่าเศรษฐกิจไทยมีปัญหา)

At a glance, what do you think of her? (พอได้รู้จักเธอแป๊บเดียว คุณคิดกับเธออย่างไร)

Let’s examine the past year at a glance. (เรามาพิจารณาปีที่ผ่านมาอย่างคร่าวๆ กันเถอะ)

พบกันคราวหน้า อย่าลืมว่าภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียวครับ

ที่มา  :  คมชัดลึก ออนไลน์, 12 พ.ย. 51 


 

วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เรียนรู้ประวัติศาสตร์อย่างมีวิจารณญาณ




โดย สายพิน แก้วงามประเสริฐ



กระแสความคิดที่จะรื้อฟื้น และให้ความสำคัญกับวิชาประวัติศาสตร์กำลังอยู่ในความสนใจของสังคมอยู่ไม่น้อย อีกทั้งเป็นนโยบายแรกๆ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนใหม่ที่จะให้ความสำเร็จกับการสอนวิชาประวัติศาสตร์ แม้ไม่ได้บอกชัดเจนว่าจะทำเป็นรูปธรรมอย่างไร

นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การศึกษา วุฒิสภา ได้จัดเสวนาเรื่องวิชาประวัติศาสตร์กับการศึกษา ซึ่งผู้ร่วมเสวนาได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับการเรียนประวัติศาสตร์ไว้หลากหลาย ทั้งเห็นว่าวิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาที่มีความสำคัญทำให้รู้จักตนเองเพื่อจะได้อยู่กับปัจจุบันและอนาคตได้อย่างมีความสุข และเห็นว่าการเรียนประวัติศาสตร์ไม่สามารถเรียนเนื้อหาที่มีอยู่ทั้งหมด เพราะไม่อาจยกเลิกวิชาอื่นแล้วขยายเวลาเรียนวิชาประวัติศาสตร์ได้ ดังนั้นควรเน้นแค่การฉายหนังตัวอย่าง และควรสอนวิธีเรียนเพื่อให้เด็กได้ค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม

ที่ประชุมเสวนายังเสนอว่า วัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ต้องเรียนเพื่อให้เด็กเป็นคนดี รักชาติบ้านเมืองและท้องถิ่น จะได้เป็นพลเมืองดี

จากแนวคิดของคณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา ด้วยการสอนประวัติศาสตร์ เพียงแค่ฉายหนังตัวอย่าง และให้เด็กค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองนั้น อาจทำให้เด็กไม่เข้าใจ ไม่เกิดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ได้จริงๆ หากเรียนแล้วเด็กไม่เกิดความตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องราวที่เป็นประวัติศาสตร์ ที่อาจเป็นบทเรียน แง่คิดที่จะทำให้เกิดความระมัดระวังป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ที่เป็นความผิดพลาดในอดีตเกิดได้อีกนั้น เพื่อให้สามารถอยู่กับปัจจุบันได้อย่างมีความสุข และเพื่ออนาคตที่มั่นคง ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ หากปราศจากการเรียนประวัติศาสตร์ด้วยการฝึกให้เด็กรู้จักการคิดอย่างมีวิจารณญาณ

การเรียนด้วยการฝึกคิดอย่างมีวิจารณญาณ คือการเรียนเพื่อให้เด็กรู้จักคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ แยกแยะข้อเท็จจริง ความคิดเห็นออกจากกันได้ สามารถตั้งสมมติฐานเพื่อหาหนทางแก้ไข และสรุปประเด็นสำคัญโดยใช้เหตุผล เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจอย่างรอบคอบและรอบด้านมากขึ้น

ดังนั้น หากนำวิธีการทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเน้นการรวบรวมหลักฐานอย่างหลากหลายและรอบด้าน พร้อมทั้งวิพากษ์ความน่าเชื่อถือของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ แล้วจึงอธิบายเรื่องราวเหตุการณ์โดยไม่พยายามนำทัศนคติ อคติ และความเชื่อส่วนตัวมาปะปนกับคำอธิบายนั้นซึ่งจะทำให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจและอธิบายปรากฏการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นได้ว่า เพราะเหตุใดเหตุการณ์นี้จึงเกิดขึ้น

นอกจากนี้ หากนำวิธีการทางประวัติศาสตร์มาประกอบกับการสอนโดยเน้นการฝึกทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณให้กับเด็กแล้ว การเรียนวิชาประวัติศาสตร์ในโรงเรียนน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าเพียงเรียนเพื่อให้รู้ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้างเท่านั้น แต่หารู้ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นๆ เป็นบทเรียนที่ควรค่าแก่การจดจำ ทบทวน นำไปสู่การแก้ไขปัจจุบัน ให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ ไม่ใช่แค่ในสังคมเดียวกันเท่านั้น แต่ยังจำเป็นต้องเรียนเพื่อให้อยู่ร่วมกับสังคมโลกได้อย่างเป็นสุขอีกด้วย

ดังนั้น หากเรียนประวัติศาสตร์เพียงเพื่อให้เกิดความรักชาติ รักท้องถิ่นมากเกินไป จนกลายเป็นความคลั่งชาติ แล้วทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมโลก หรือสังคมท้องถิ่นอื่นได้ การเรียนประวัติศาสตร์ย่อมไม่เกิดประโยชน์อันใด

อีกทั้งการเรียนประวัติศาสตร์อาจไม่เกิดประโยชน์เลยหากเพียงเรียนเพื่อให้เข้าใจตนเอง กลับไม่เคยเข้าใจคนอื่น ไม่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น การเรียนนั้นย่อมไม่เกิดประโยชน์สักเท่าไร แต่หากได้นำทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณมาใช้ประกอบการเรียนประวัติศาสตร์ ย่อมทำให้รู้จักการใช้หลักฐานใช้เหตุผลอย่างรอบคอบด้วยการฝึกคิดไตร่ตรองอยู่เสมอแล้ว วิชาประวัติศาสตร์ก็น่าจะเป็นวิชาที่มีชีวิตจิตใจ สอนให้รู้จักการให้อภัย รู้จักทบทวนตัวเองอยู่เสมอ ย่อมเป็นวิชาที่นำไปใช้ประโยชน์ได้จริง

รวมทั้งยังเป็นการฝึกให้ผู้เรียนมีใจคอกว้างขวาง ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างไปจากตนได้ ความแตกแยกในสังคมที่แบ่งเป็นฝักฝ่าย หากใครคิดไม่เหมือนตนเองย่อมไม่ใช่คนดีเช่นตัวเรา สมควรขับไล่ไสส่งให้ไปยืนอีกมุมหนึ่งในสังคมสภาพเช่นนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น

หากการเรียนการสอนในโรงเรียนสามารถใช้ทักษะกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณหลอมเข้ากับการใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ จัดการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดีแล้ว ย่อมทำให้การรื้อฟื้นวิชาประวัติศาสตร์ในโรงเรียนมีความหมาย มากกว่าสักแต่ได้ชื่อว่าบรรจุวิชาประวัติศาสตร์ไว้ในโรงเรียนเท่านั้นเอง

หน้า 7 

 

ที่มา  :   มติชนรายวัน,วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11190 



เรื่องของสารตะกั่วและเมลามีน



เรื่องของสารตะกั่วและเมลามีน ในสิ่งอุปโภค-บริโภค

โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์



พูดถึงสาธารณรัฐประชาชนจีนหรือจีนแดงแล้วก็อ่อนใจเพราะว่าเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่กำลังเป็นดาวรุ่งขนาดว่ามีศักยภาพที่จะแซงประเทศสหรัฐอเมริกาได้เนื่องจากมีประชากรและทรัพยากร ประกอบกับขนาดเนื้อที่ของประเทศอันมหึมาพอฟัดพอเหวี่ยงกับสหรัฐอเมริกาในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นที่เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับสองของโลกเป็นเวลานานนั้นมีข้อจำกัดในขนาดเนื้อที่ของประเทศที่เล็กกว่าสหรัฐอเมริกากว่า 25 เท่า

ที่ว่าอ่อนใจก็เห็นจะเป็นที่ว่าความที่เห็นแก่ได้โดยไม่คำนึงถึงชีวิตมนุษย์ของบรรดานักธุรกิจและอุตสาหกรรมชาวจีนที่มุ่งหวังผลกำไรโดยไม่เห็นแก่ชีวิตมนุษย์เอาเสียเลย เล่นเอาผลิตภัณฑ์ของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนกลายเป็นที่เข็ดขยาดของชาวโลกทั่วไปในขณะนี้

โดยเริ่มจากของเด็กเล่นที่ผลิตจากประเทศจีนก็มีสารตะกั่วปนเปื้อนในปริมาณที่โหดร้ายแบบไม่ควรมีการให้อภัยเลยเนื่องจากมาตรฐานของปริมาณสารตะกั่วในสิ่งของเครื่องใช้หรือของเด็กเล่นต้องมีปริมาณไม่สูงกว่า 600 มิลลิกรัมต่อสิ่งของหนัก 1 กิโลกรัม

แต่ของเด็กเล่นที่พบในประเทศไทยบางอย่างเช่นหน้ากากมาร์ค ไรเดอร์มี ระดับค่าตะกั่วรวม 24,000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม สูงกว่าค่ามาตรฐานกว่า 40 เท่าเลยทีเดียว, รถแข่งขนาดเล็กมี ระดับค่าตะกั่วรวม 15,200 มิลลิกรัม/กิโลกรัม, ลูกบอลพลาสติคระดับค่าตะกั่วรวม 3,397 มิลลิกรัม/กิโลกรัม (อ้างอิงจากคำให้สัมภาษณ์ของ นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก รพ.รามาธิบดี)

ตะกั่วเป็นแร่ธาตุธรรมชาติชนิดหนึ่งในไม่กี่ชนิดที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์แม้แต่น้อย แต่กลับเป็นตัวสร้างปัญหาให้กับสุขภาพของคนเท่านั้น

สำหรับพิษจากตะกั่วที่ปนเปื้อนในของเล่นเด็ก จะส่งผลกระทบต่อเด็ก โดยเฉพาะผลกระทบทางสมอง ทำให้ระดับสติปัญญาต่ำลง เกิดพฤติกรรมเบี่ยงเบน เช่น สมาธิสั้น มีปัญหาการเรียน พฤติกรรมก้าวร้าว และยังส่งผลต่อเม็ดเลือดทำให้เกิดภาวะซีด และเมื่อมีปริมาณมากขึ้นมากก็ทำให้ถึงแก่ชีวิตได้

ปัจจุบันนี้ก็มีปัญหาที่ผลิตภัณฑ์นมของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้นมีสารเมลามีนปนเปื้อนในปริมาณสูงทำให้เด็กทารกเสียชีวิตไปหลายรายแล้ว และที่กำลังป่วยเจ็บทนทุกข์ทรมานอยู่อีกเป็นจำนวนมากซึ่งผลิตภัณฑ์นมของจีนนี้ได้วางขายอยู่แทบทั่วโลกเพราะว่ามีราคาถูกและปริมาณโปรตีนในนมสูงได้มาตรฐานจากการตรวจวัดของเครื่องมือที่ทันสมัยซึ่งทั่วโลกยึดถือเป็นมาตรฐาน

อีทีนี้ซีที่น่าสนใจเจ้าเครื่องมือวัดปริมาณโปรตีนในนมที่หากเจอสารเมลามีนเข้าก็ตีค่าออกมาเป็นโปรตีน ซึ่งเครื่องยนต์กลไกนี่มนุษย์สร้างขึ้น ดังนั้นมนุษย์ชาติชั่วก็สามารถโกงหรือต้มตุ๋นเครื่องจักรได้ นั่นแหละ เอานมผสมน้ำไปเยอะๆ แล้วก็เติมสารเมลามีนเข้าไปก็ได้นมมากทำให้เครื่องจักรวัดว่านมมีโปรตีนสูงกว่าความเป็นจริง ทำให้นมดูเหมือนมีคุณภาพสูง ราคาแพงขึ้นคนซื้อก็สบายใจ 

เอาไปให้เด็กกิน เด็กก็ตาย เท่านั้นเอง!

ผู้เขียนเขียนเรื่องเมลามีนนี้ขึ้นมาเนื่องจากเป็นห่วงว่าคนไทยจะตื่นตระหนกในเรื่องที่ไม่มีสาระเนื่องจากบ้านเรานี้ใช้ภาชนะประเภท จาน ชาม ถ้วย ฯลฯ ที่ทำจากเมลามีนซึ่งไม่เป็นอันตรายอะไรหรอก เพราะว่าเป็นสารที่ปลอดภัยในการที่ใช้บรรจุอาหารซึ่งจะมีเมลามีนจากภาชนะบรรจุอาหารบ้างก็ไม่มีอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น

แต่การเติมเมลามีนเข้าไปในนมนี่ซี เขาเติมกันปริมาณสูงมากและเด็กทารกดื่มแต่นมอย่างเดียวจึงต้องล้มตายกัน ดังนั้นจะต้องจับเอาพวกที่เห็นแก่กำไรโดยไม่คำนึงถึงชีวิตมนุษย์มาลงโทษให้สาสม

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเมลามีนที่ควรรู้คือเมลามีนเป็นพลาสติคชนิดหนึ่ง โครงสร้างของสารเมลามีนนี้มีส่วนประกอบเป็นไนโตรเจนสูง จึงนำมาใช้เป็นภาชนะบรรจุอาหาร น้ำยาดับเพลิง น้ำยาล้างจานและปุ๋ย และเนื่องจากโปรตีนมีส่วนประกอบของไนโตรเจนด้วยยังไงละ ดังนั้นการเติมเมลามีนเข้าไปในนมก็เลยทำให้เครื่องจักรวัดค่าของนมถูกหลอกไปนั่นเอง

สำหรับความจริงที่ต้องทราบคือโดยเฉลี่ยแล้วอาหารที่บรรจุภาชนะเมลามีนนั้นอาจจะมีสารเมลามีนติดกับอาหารได้ไม่เกิน 0.015 ส่วนต่อหนึ่งล้านส่วนของอาหารซึ่งไม่มีอันตรายแต่อย่างไรเนื่องจากปริมาณเมลามีนที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์นั้นเฉลี่ยตั้งแต่ 2.5 ส่วนต่อร่างกายคนหนึ่งล้านส่วน

ซึ่งสำหรับมนุษย์ผู้ใหญ่แล้วก็เหมือนกับว่าชายคนหนึ่งที่หนัก 70 กิโลกรัมต้องดื่มนมที่มีสารเมลามีนปนอยู่ 2.5 ส่วนต่อนมหนึ่งล้านส่วน ถึงวันละ 17.5 ลิตร จึงจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย (ใครจะบ้าดื่มนมได้ตั้งวันละสิบเจ็ดลิตรครึ่งได้)

แต่ผลิตภัณฑ์จากสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้นที่พบเมลามีนสูงที่สุดนั้นมีปริมาณของเมลามีนในนมผงถึง 65 ส่วนในนม 1 ล้านส่วน ซึ่งมีเมลามีนสูงกว่าระดับมาตรฐานกว่า 25 เท่า อย่างนี้เด็กไม่ตายไหวหรือ?

สรุปเรื่องผลิตภัณฑ์อาหารที่เป็นอันตรายต่อชีวิตของผู้บริโภคนั้นไม่ได้มีแต่ประเทศจีนหรอก

ที่เมืองไทยก็เยอะไปลองบริโภคผักสดและผลไม้ของเราที่ใช้ยาฆ่าแมลงขนาดฆ่าคนได้ก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป

ข้อแตกต่างระหว่างไทยกับจีนก็คือที่ประเทศจีนเขามีโทษประหารชีวิตสำหรับบุคคลที่ผลิตอาหารมีพิษแบบผลิตภัณฑ์นมปนเปื้อนสารเมลามีนนี้

แต่เมืองไทยไม่มีโทษหนักขนาดนั้น

หรือพูดอีกอย่างก็ได้ว่าที่เมืองไทยนั้นประชาชนต้องเสี่ยงเอาเอง ไม่มีใครสนหรอก

หน้า 6 

 

ที่มา  :  มติชนรายวัน,วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11190 



วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551

สนธิสัญญา และแผนที่ไทย(สยาม)-กัมพูชา



สนธิสัญญา และแผนที่ไทย(สยาม)-กัมพูชา พรมแดนความไม่รับรู้ของสื่อสาธารณะ



โดย อัครพงษ์ ค่ำคูณ วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


สำหรับผู้เขียนแล้ว พรมแดนความรับรู้เกี่ยวกับสนธิสัญญา พรมแดน และแผนที่ไทย-กัมพูชา ค่อนข้างแตกต่างมาก จากสิ่งที่ปรากฏในการนำเสนอของบรรดาสื่อสารมวลชนไทยในปัจจุบัน รวมทั้งบรรดา "ผู้รู้อิสระ" ทั้งหลายที่ออกมาให้สัมภาษณ์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา

ดังนั้น จึงขอโอกาสนำเสนอ พรมแดนความไม่รับรู้ หรือไม่ถูกนำเสนอ ผ่านสื่อสารมวลชนสาธารณะ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อเท็จจริงและหลักฐานเกี่ยวกับสนธิสัญญา และแผนที่ไทย(สยาม)-กัมพูชา

ประการแรก สนธิสัญญา พ.ศ.2447/ค.ศ.1904 และสนธิสัญญา พ.ศ.2450/ค.ศ.1907 และแผนที่ภาคผนวก 1 หรือ MAP ANNEX 1 กล่าวคือ บทบัญญัติที่เกี่ยวข้องในสนธิสัญญาระหว่างพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 กับฝรั่งเศส ฉบับวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2447/ค.ศ.1904 นั้น มาตรา 1 กำหนดให้ "เส้นเขตแดน คือ สันปันน้ำ" ซึ่งคำว่า "เส้นสันปันน้ำ" นี่เอง ได้ถูกนำมาเป็นข้อถกเถียงเรื่องดินแดนและอธิปไตยของไทยเหนือเขาพระวิหารบนเทือกเขาพนมดงรัก

แต่เอาเข้าจริงแล้ว ใน มาตรา 3 ของสนธิสัญญาฉบับเดียวกันนี้ ก็ได้ระบุเอาไว้ด้วยเช่นกันว่า

"ให้มีการปักปันเขตแดนระหว่างราชอาณาจักรสยามกับดินแดนที่ประกอบเป็นอินโดจีนฝรั่งเศส การปักปันนี้ให้กระทำโดยคณะกรรมการผสมประกอบด้วยพนักงานซึ่งประเทศภาคีทั้งสองแต่งตั้ง"

หมายความว่า แม้สนธิสัญญาจะกำหนดให้ "เส้นเขตแดน คือ สันปันน้ำ" แต่ "แนวเขตแดนที่แน่นอนจะได้กำหนดขึ้นโดยคณะกรรมการผสมฝรั่งเศส-สยาม" โดยมี พลเอก หม่อมชาติเดชอุดม เป็นประธานฝ่ายสยาม และ พันตรี แบร์นารด์ เป็นประธานฝ่ายฝรั่งเศส

ต่อมาสนธิสัญญาครั้งหลังสุดใน วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2450/ค.ศ.1907 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปลงสัตยาบันกับฝรั่งเศสด้วยพระองค์เอง โดยตกลงยกพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ เพื่อแลกกับด่านซ้ายและตราด รวมทั้งหมู่เกาะต่างๆ ของอำเภอแหลมงอบในปัจจุบัน เพื่อรักษาเอกราชและอธิปไตยส่วนใหญ่ของประเทศเอาไว้

และสนธิสัญญาทั้งสองฉบับนี้เอง ทำให้เกิดแผนที่ไทย (สยาม)-กัมพูชาขึ้น และพิมพ์สำเร็จเป็นครั้งแรกใน 1 ปี ต่อมาคือ พ.ศ.2451/ค.ศ.1908 และหนึ่งในแผนที่จำนวน 11 ระวาง ที่ถูกพิมพ์ขึ้นในชุดเดียวกันนี้ ก็ปรากฏเส้นเขตแดนตามแผนที่ระวางชื่อ "Dangrek" มีสัญลักษณ์ระบุอย่างชัดเจนว่าที่ตั้งของปราสาทพระวิหาร "Preas Vihear" อยู่ในเขตแดนของกัมพูชา

[แผนที่ฉบับนี้หาได้จาก Google โดยพิมพ์คำว่า Dangrek แล้วเลือกรูปภาพขนาดใหญ่พิเศษ]

ประการที่สอง กรณี "ศาสตราจารย์" ผู้รู้ทางกฎหมายของไทยท่านหนึ่งให้ "คำอธิบาย" ว่าแผนที่ไทย (สยาม)-กัมพูชา "เป็นการทำของฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่ถือว่าเป็นหลักฐานและสนธิสัญญา"

แต่ "คำอธิบาย" ของผู้รู้ท่านนี้ ขัดแย้งต่อหลักฐานและข้อเท็จจริง

กล่าวคือ แม้ว่าคณะกรรมการผสมสองฝ่ายไม่ได้ทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง และกระบวนการปักปันเขตแดนส่วนใหญ่กระทำขึ้น โดยฝ่ายฝรั่งเศส แต่ในที่สุดเมื่อตีพิมพ์แผนที่แล้วเสร็จในปี พ.ศ.2451/ค.ศ.1908 ฝ่ายสยามก็ยอมรับแผนที่ดังกล่าวไว้

และเอาเข้าจริงแล้ว แผนที่ภาคผนวก 1 หรือ MAP ANNEX 1 ที่กัมพูชาใช้แนบคำฟ้องเพื่อสู้คดีปราสาทพระวิหารในศาลโลก เมื่อปี พ.ศ.2502-2505/ค.ศ.1959-1962 ก็คือแผนที่แผนเดียวกันกับแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ระวางชื่อ "Dangrek" หนึ่งในแผนที่ทั้งหมด 11 ระวาง ระวางละ 50 แผ่น ได้แก่ 1.Maekhop and Chianglom 2.rivers in the north 3.Muang Nan 4.Paklai 5.Huang River 6.Pasak 7.Mekong 8.Dangrek 9.Phnom Kulen 10.Lake และ 11.Muang Trat

จากเอกสารราชการสถานทูตสยามในปารีส เลขที่ 89/525 ลงวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ.2451/1908 หม่อมเจ้าจรูญศักดิ์ กฤษดากร อัครราชทูตสยามประจำฝรั่งเศส ทรงกล่าวถึง "คณะกรรมการผสม - Mixed Commission of Delimitation" ว่า "ได้ทำหน้าที่สำเร็จแล้ว" และทรงรับแผนที่ชุดนี้มาจาก "Captain Tixier" เพื่อส่งมาถวาย สมเด็จกรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศของสยามขณะนั้น ซึ่งส่งมายังประเทศสยามทั้งหมด 11 ระวาง ระวางละ 44 แผ่น โดยทรงเก็บไว้ที่สถานทูตในฝรั่งเศสระวางละ 2 แผ่น และส่งไปยังสถานทูตสยามแห่งอื่นๆ ได้แก่ ลอนดอน เบอร์ลิน รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา แห่งละ 1 ชุด (ทั้ง 11 ระวาง ระวางละ 1 แผ่น)

ดังนั้น แผนที่ภาคผนวก 1 หรือ MAP ANNEX 1 จึงเป็นที่รับรู้ของฝ่ายสยามมาโดยตลอด ตั้งแต่ปี พ.ศ.2451/ค.ศ.1908 หากจะมี "ผู้รู้อิสระ" บางท่านกล่าวว่า "เป็นแผนที่ซึ่งฝรั่งเศสทำปลอมขึ้นทีหลัง เพื่อให้ฝ่ายกัมพูชาเอาไปใช้สู้คดีในศาลโลก" จำต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนในถ้อยคำดังกล่าว

เพราะแผนที่นี้ปัจจุบันก็มีอยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศของไทย พิมพ์โดย H.BARRERE, Edituer Geographe.21 Rue du Bac, PARIS.

ประการที่สาม การรณรงค์ดินแดนที่เรียกว่า "มณฑลบูรพา" โดยอ้างอิง อนุสัญญาโตเกียว พ.ศ.2484 (ค.ศ.1941) ซึ่งทำให้ฝ่ายไทยได้เข้าไปครอบครองดินแดนกัมพูชาที่จังหวัดพระตะบอง และเสียมราฐที่ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "จังหวัดพิบูลสงคราม" รวมทั้งดินแดนลาวที่ "จังหวัดลานช้าง" และ "จังหวัดจำปาศักดิ์"

แต่เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมีการลงนามในสนธิสัญญาอีกหนึ่งฉบับคือ สนธิสัญญาวอชิงตัน พ.ศ.2489 (ค.ศ.1946) ระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรกับรัฐบาลไทย ซึ่งกำหนดให้ฝ่ายไทยต้องถอนกำลังทหารออกจากดินแดนทั้งหมด ที่ไทยเคยบุกเข้าไปครอบครองในช่วงสงคราม เนื่องจากรัฐบาลไทยนำโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้ร่วมมือกับฝ่ายอักษะ คือ ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่เพราะมีขบวนการเสรีไทยที่นำโดย ดร.ปรีดี พนมยงค์ ทำให้ประเทศไทยไม่ต้องตกอยู่ในฐานะประเทศแพ้สงครามในครั้งนั้น

เพราะฉะนั้น หากจะอ้างอิงอนุสัญญาโตเกียว พ.ศ.2484 (ค.ศ.1941) ก็จำเป็นต้องให้ข้อมูลกับสาธารณชนว่ายังมีสนธิสัญญาวอชิงตัน พ.ศ.2489 (ค.ศ.1946) ด้วยเช่นกัน

และถึงแม้จะมีข้อถกเถียงว่า "รัฐบาลมิได้ขอสัตยาบันจากรัฐสภา" แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า รัฐบาลในขณะนั้นก็คือ ขบวนการเสรีไทย ทำให้ประเทศชาติของเรารอดพ้นจากสถานะ "ประเทศผู้แพ้สงคราม" สามารถดำรงความเป็นเอกราชและอธิปไตยมาได้จนถึงปัจจุบัน

ประการสุดท้าย กรณีที่ "ผู้รู้อิสระ" ท่านหนึ่งออกมาโพนทะนาว่า "ค้นพบแผนที่ลับ" ของฝรั่งเศส นั้น แท้จริงแล้ว แผนที่ดังกล่าวเป็นเพียงแผนที่ประกอบบทความซึ่งปรากฏอยู่ใน "Les relations de la France et du Siam 1860/1907" ซึ่งตัดตอนมาจากบทความในวารสารแห่งกองทหารฝรั่งเศสในอาณานิคม เขียนโดย ร้อยเอก โซฟ (le capitaine SEAUVE) อดีตสมาชิกในคณะสำรวจปาวี (Mission Pavie) ซึ่งเดินทางเข้ามาสำรวจทำแผนที่ในปี พ.ศ.2426 เพื่อกำหนดเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาและลาวอันเป็นดินแดนที่อยู่ในอารักขาของฝรั่งเศส

ปัจจุบันบทความดังกล่าว กรมศิลปากรได้ทำการแปลเป็นภาษาไทย และจัดพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ "สัมพันธภาพของประเทศฝรั่งเศสกับประเทศสยาม พ.ศ.2223-2450" เมื่อปี พ.ศ.2544 โดยแปลจากต้นฉบับภาษาฝรั่งเศส โดย อาจารย์นันทพร บรรลือสินธุ์ [หาได้ตามศูนย์หนังสือทั่วไป เช่น ที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ ขาย 72 บาท]

แผนที่ดังกล่าว ปรากฏในหนังสือหน้าที่ 178 ซึ่งวาดขึ้นเพื่อประกอบบทความ ว่าด้วยอาณาบริเวณที่สยามกับฝรั่งเศสนำมาแลกกันตามสนธิสัญญาลงวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2450/ค.ศ.1907 ระบุไว้ว่า "CONVENTION DU 23 MARS 1907" ซึ่งวาดขึ้นโดยไม่ระบุพิกัดองศาเส้นรุ้งและเส้นแวง รวมทั้งไม่ปรากฏสัญลักษณ์หรือระบุที่ตั้งของปราสาทพระวิหารแต่อย่างใด และด้านล่างของแผนที่มีภาษาฝรั่งเศสระบุว่า "Revue des troupes colonials n65" โดยมี Henri CHARLES-LAVAUZELLE เป็นผู้พิมพ์ [ในเอกสารใช้คำภาษาฝรั่งเศสว่า editeur แต่ภาษาอังกฤษแปลว่า publisher แปลว่า ผู้พิมพ์]

ดังนั้น หากพิจารณาโดยหลักวิชาการพื้นฐาน "ประวัติศาสตร์" ว่าด้วย "ลำดับชั้นของหลักฐาน" ที่แบ่งเป็น หลักฐานชั้นต้น หลักฐานชั้นรอง หรือหลักฐานชั้นปลาย แล้วจึงสรุปได้อย่างไม่มีข้อสงสัยว่า สถานะของการ "ค้นพบแผนที่ลับ" ของ "ผู้รู้อิสระ" รายนี้ เป็นเพียงหลักฐานชั้นปลายแถว ในการศึกษาเหตุการณ์เกี่ยวกับสนธิสัญญา และแผนที่ไทย (สยาม)-กัมพูชา ซึ่งมีการลงนามและทำขึ้นระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ช่วงปี พ.ศ.2447-2451/ค.ศ.1904-1908

อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้รู้ นักวิชาการ ทั้งที่มีและไม่มีสังกัด อาจจะต้องทบทวนสิ่งที่ตนได้ออกมาแสดงความคิดเห็น อย่างเป็น "อิสระ" โดยบางครั้งขาดความรับผิดชอบทางวิชาการต่อข้อเท็จจริงและข้อมูลหลักฐานเบื้องต้น เพราะบรรดา "ความอิสระ" ทั้งหลายนั้น อาจไม่ต้องคำนึงมากนักถึง ผลที่ตามมาต่อความรับรู้และความรู้สึกสาธารณะของประชาชน รวมทั้งเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่ในองค์กรที่เกี่ยวข้องกับปัญหาดังกล่าวที่กำลังทำงานกันอย่างสุดความสามารถ

แต่สิ่งที่ "ผู้รู้อิสระ" ทั้งหลายพูดออกไปนั้น บัดนี้ได้กลายเป็น "วาทะกรรม" ที่ถูกนำไปขยายผล "เล่าสู่กันฟัง" กลายเป็น "อาณาจักรแห่งความหวาดระแวง และมืดบอดระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน" ทั้งในมิติด้านกว้างและด้านลึก

เท่าที่จำได้ อาจารย์สมฤทธิ์ ลือชัย นักวิชาการอุษาคเนย์ เคยกล่าวไว้ว่า "เรียนแล้วไม่คิดเสียเวลา แต่ถ้าคิดโดยไม่เรียน อันตราย!" และในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาต้องเพิ่มเติมด้วยว่า "เรียนมาค้นคว้ามาเป็นอย่างดี แต่กลับเอามาคิดเข้าข้างแต่ตนเอง โดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นมนุษย์ของกันและกันแล้ว ก็ยิ่งอันตราย"

ขอจบท้ายด้วยคำขวัญรณรงค์เพื่อ "สมานฉันท์อุษาคเนย์" ของ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ที่ว่า "Make Love Not War"

[เพิ่มเติมข้อมูลเกี่ยวกับกรณีปราสาทเขาพระวิหาร http://www.charnvitkasetsiri.com]

หน้า 6

ที่มา  :  มติชนรายวัน,วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11189