วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เรียนรู้ประวัติศาสตร์อย่างมีวิจารณญาณ




โดย สายพิน แก้วงามประเสริฐ



กระแสความคิดที่จะรื้อฟื้น และให้ความสำคัญกับวิชาประวัติศาสตร์กำลังอยู่ในความสนใจของสังคมอยู่ไม่น้อย อีกทั้งเป็นนโยบายแรกๆ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนใหม่ที่จะให้ความสำเร็จกับการสอนวิชาประวัติศาสตร์ แม้ไม่ได้บอกชัดเจนว่าจะทำเป็นรูปธรรมอย่างไร

นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การศึกษา วุฒิสภา ได้จัดเสวนาเรื่องวิชาประวัติศาสตร์กับการศึกษา ซึ่งผู้ร่วมเสวนาได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับการเรียนประวัติศาสตร์ไว้หลากหลาย ทั้งเห็นว่าวิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาที่มีความสำคัญทำให้รู้จักตนเองเพื่อจะได้อยู่กับปัจจุบันและอนาคตได้อย่างมีความสุข และเห็นว่าการเรียนประวัติศาสตร์ไม่สามารถเรียนเนื้อหาที่มีอยู่ทั้งหมด เพราะไม่อาจยกเลิกวิชาอื่นแล้วขยายเวลาเรียนวิชาประวัติศาสตร์ได้ ดังนั้นควรเน้นแค่การฉายหนังตัวอย่าง และควรสอนวิธีเรียนเพื่อให้เด็กได้ค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม

ที่ประชุมเสวนายังเสนอว่า วัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ต้องเรียนเพื่อให้เด็กเป็นคนดี รักชาติบ้านเมืองและท้องถิ่น จะได้เป็นพลเมืองดี

จากแนวคิดของคณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา ด้วยการสอนประวัติศาสตร์ เพียงแค่ฉายหนังตัวอย่าง และให้เด็กค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองนั้น อาจทำให้เด็กไม่เข้าใจ ไม่เกิดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ได้จริงๆ หากเรียนแล้วเด็กไม่เกิดความตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องราวที่เป็นประวัติศาสตร์ ที่อาจเป็นบทเรียน แง่คิดที่จะทำให้เกิดความระมัดระวังป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ที่เป็นความผิดพลาดในอดีตเกิดได้อีกนั้น เพื่อให้สามารถอยู่กับปัจจุบันได้อย่างมีความสุข และเพื่ออนาคตที่มั่นคง ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ หากปราศจากการเรียนประวัติศาสตร์ด้วยการฝึกให้เด็กรู้จักการคิดอย่างมีวิจารณญาณ

การเรียนด้วยการฝึกคิดอย่างมีวิจารณญาณ คือการเรียนเพื่อให้เด็กรู้จักคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ แยกแยะข้อเท็จจริง ความคิดเห็นออกจากกันได้ สามารถตั้งสมมติฐานเพื่อหาหนทางแก้ไข และสรุปประเด็นสำคัญโดยใช้เหตุผล เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจอย่างรอบคอบและรอบด้านมากขึ้น

ดังนั้น หากนำวิธีการทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเน้นการรวบรวมหลักฐานอย่างหลากหลายและรอบด้าน พร้อมทั้งวิพากษ์ความน่าเชื่อถือของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ แล้วจึงอธิบายเรื่องราวเหตุการณ์โดยไม่พยายามนำทัศนคติ อคติ และความเชื่อส่วนตัวมาปะปนกับคำอธิบายนั้นซึ่งจะทำให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจและอธิบายปรากฏการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นได้ว่า เพราะเหตุใดเหตุการณ์นี้จึงเกิดขึ้น

นอกจากนี้ หากนำวิธีการทางประวัติศาสตร์มาประกอบกับการสอนโดยเน้นการฝึกทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณให้กับเด็กแล้ว การเรียนวิชาประวัติศาสตร์ในโรงเรียนน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าเพียงเรียนเพื่อให้รู้ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้างเท่านั้น แต่หารู้ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นๆ เป็นบทเรียนที่ควรค่าแก่การจดจำ ทบทวน นำไปสู่การแก้ไขปัจจุบัน ให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ ไม่ใช่แค่ในสังคมเดียวกันเท่านั้น แต่ยังจำเป็นต้องเรียนเพื่อให้อยู่ร่วมกับสังคมโลกได้อย่างเป็นสุขอีกด้วย

ดังนั้น หากเรียนประวัติศาสตร์เพียงเพื่อให้เกิดความรักชาติ รักท้องถิ่นมากเกินไป จนกลายเป็นความคลั่งชาติ แล้วทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมโลก หรือสังคมท้องถิ่นอื่นได้ การเรียนประวัติศาสตร์ย่อมไม่เกิดประโยชน์อันใด

อีกทั้งการเรียนประวัติศาสตร์อาจไม่เกิดประโยชน์เลยหากเพียงเรียนเพื่อให้เข้าใจตนเอง กลับไม่เคยเข้าใจคนอื่น ไม่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น การเรียนนั้นย่อมไม่เกิดประโยชน์สักเท่าไร แต่หากได้นำทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณมาใช้ประกอบการเรียนประวัติศาสตร์ ย่อมทำให้รู้จักการใช้หลักฐานใช้เหตุผลอย่างรอบคอบด้วยการฝึกคิดไตร่ตรองอยู่เสมอแล้ว วิชาประวัติศาสตร์ก็น่าจะเป็นวิชาที่มีชีวิตจิตใจ สอนให้รู้จักการให้อภัย รู้จักทบทวนตัวเองอยู่เสมอ ย่อมเป็นวิชาที่นำไปใช้ประโยชน์ได้จริง

รวมทั้งยังเป็นการฝึกให้ผู้เรียนมีใจคอกว้างขวาง ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างไปจากตนได้ ความแตกแยกในสังคมที่แบ่งเป็นฝักฝ่าย หากใครคิดไม่เหมือนตนเองย่อมไม่ใช่คนดีเช่นตัวเรา สมควรขับไล่ไสส่งให้ไปยืนอีกมุมหนึ่งในสังคมสภาพเช่นนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น

หากการเรียนการสอนในโรงเรียนสามารถใช้ทักษะกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณหลอมเข้ากับการใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ จัดการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดีแล้ว ย่อมทำให้การรื้อฟื้นวิชาประวัติศาสตร์ในโรงเรียนมีความหมาย มากกว่าสักแต่ได้ชื่อว่าบรรจุวิชาประวัติศาสตร์ไว้ในโรงเรียนเท่านั้นเอง

หน้า 7 

 

ที่มา  :   มติชนรายวัน,วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11190 



เรื่องของสารตะกั่วและเมลามีน



เรื่องของสารตะกั่วและเมลามีน ในสิ่งอุปโภค-บริโภค

โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์



พูดถึงสาธารณรัฐประชาชนจีนหรือจีนแดงแล้วก็อ่อนใจเพราะว่าเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่กำลังเป็นดาวรุ่งขนาดว่ามีศักยภาพที่จะแซงประเทศสหรัฐอเมริกาได้เนื่องจากมีประชากรและทรัพยากร ประกอบกับขนาดเนื้อที่ของประเทศอันมหึมาพอฟัดพอเหวี่ยงกับสหรัฐอเมริกาในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นที่เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับสองของโลกเป็นเวลานานนั้นมีข้อจำกัดในขนาดเนื้อที่ของประเทศที่เล็กกว่าสหรัฐอเมริกากว่า 25 เท่า

ที่ว่าอ่อนใจก็เห็นจะเป็นที่ว่าความที่เห็นแก่ได้โดยไม่คำนึงถึงชีวิตมนุษย์ของบรรดานักธุรกิจและอุตสาหกรรมชาวจีนที่มุ่งหวังผลกำไรโดยไม่เห็นแก่ชีวิตมนุษย์เอาเสียเลย เล่นเอาผลิตภัณฑ์ของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนกลายเป็นที่เข็ดขยาดของชาวโลกทั่วไปในขณะนี้

โดยเริ่มจากของเด็กเล่นที่ผลิตจากประเทศจีนก็มีสารตะกั่วปนเปื้อนในปริมาณที่โหดร้ายแบบไม่ควรมีการให้อภัยเลยเนื่องจากมาตรฐานของปริมาณสารตะกั่วในสิ่งของเครื่องใช้หรือของเด็กเล่นต้องมีปริมาณไม่สูงกว่า 600 มิลลิกรัมต่อสิ่งของหนัก 1 กิโลกรัม

แต่ของเด็กเล่นที่พบในประเทศไทยบางอย่างเช่นหน้ากากมาร์ค ไรเดอร์มี ระดับค่าตะกั่วรวม 24,000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม สูงกว่าค่ามาตรฐานกว่า 40 เท่าเลยทีเดียว, รถแข่งขนาดเล็กมี ระดับค่าตะกั่วรวม 15,200 มิลลิกรัม/กิโลกรัม, ลูกบอลพลาสติคระดับค่าตะกั่วรวม 3,397 มิลลิกรัม/กิโลกรัม (อ้างอิงจากคำให้สัมภาษณ์ของ นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก รพ.รามาธิบดี)

ตะกั่วเป็นแร่ธาตุธรรมชาติชนิดหนึ่งในไม่กี่ชนิดที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์แม้แต่น้อย แต่กลับเป็นตัวสร้างปัญหาให้กับสุขภาพของคนเท่านั้น

สำหรับพิษจากตะกั่วที่ปนเปื้อนในของเล่นเด็ก จะส่งผลกระทบต่อเด็ก โดยเฉพาะผลกระทบทางสมอง ทำให้ระดับสติปัญญาต่ำลง เกิดพฤติกรรมเบี่ยงเบน เช่น สมาธิสั้น มีปัญหาการเรียน พฤติกรรมก้าวร้าว และยังส่งผลต่อเม็ดเลือดทำให้เกิดภาวะซีด และเมื่อมีปริมาณมากขึ้นมากก็ทำให้ถึงแก่ชีวิตได้

ปัจจุบันนี้ก็มีปัญหาที่ผลิตภัณฑ์นมของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้นมีสารเมลามีนปนเปื้อนในปริมาณสูงทำให้เด็กทารกเสียชีวิตไปหลายรายแล้ว และที่กำลังป่วยเจ็บทนทุกข์ทรมานอยู่อีกเป็นจำนวนมากซึ่งผลิตภัณฑ์นมของจีนนี้ได้วางขายอยู่แทบทั่วโลกเพราะว่ามีราคาถูกและปริมาณโปรตีนในนมสูงได้มาตรฐานจากการตรวจวัดของเครื่องมือที่ทันสมัยซึ่งทั่วโลกยึดถือเป็นมาตรฐาน

อีทีนี้ซีที่น่าสนใจเจ้าเครื่องมือวัดปริมาณโปรตีนในนมที่หากเจอสารเมลามีนเข้าก็ตีค่าออกมาเป็นโปรตีน ซึ่งเครื่องยนต์กลไกนี่มนุษย์สร้างขึ้น ดังนั้นมนุษย์ชาติชั่วก็สามารถโกงหรือต้มตุ๋นเครื่องจักรได้ นั่นแหละ เอานมผสมน้ำไปเยอะๆ แล้วก็เติมสารเมลามีนเข้าไปก็ได้นมมากทำให้เครื่องจักรวัดว่านมมีโปรตีนสูงกว่าความเป็นจริง ทำให้นมดูเหมือนมีคุณภาพสูง ราคาแพงขึ้นคนซื้อก็สบายใจ 

เอาไปให้เด็กกิน เด็กก็ตาย เท่านั้นเอง!

ผู้เขียนเขียนเรื่องเมลามีนนี้ขึ้นมาเนื่องจากเป็นห่วงว่าคนไทยจะตื่นตระหนกในเรื่องที่ไม่มีสาระเนื่องจากบ้านเรานี้ใช้ภาชนะประเภท จาน ชาม ถ้วย ฯลฯ ที่ทำจากเมลามีนซึ่งไม่เป็นอันตรายอะไรหรอก เพราะว่าเป็นสารที่ปลอดภัยในการที่ใช้บรรจุอาหารซึ่งจะมีเมลามีนจากภาชนะบรรจุอาหารบ้างก็ไม่มีอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น

แต่การเติมเมลามีนเข้าไปในนมนี่ซี เขาเติมกันปริมาณสูงมากและเด็กทารกดื่มแต่นมอย่างเดียวจึงต้องล้มตายกัน ดังนั้นจะต้องจับเอาพวกที่เห็นแก่กำไรโดยไม่คำนึงถึงชีวิตมนุษย์มาลงโทษให้สาสม

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเมลามีนที่ควรรู้คือเมลามีนเป็นพลาสติคชนิดหนึ่ง โครงสร้างของสารเมลามีนนี้มีส่วนประกอบเป็นไนโตรเจนสูง จึงนำมาใช้เป็นภาชนะบรรจุอาหาร น้ำยาดับเพลิง น้ำยาล้างจานและปุ๋ย และเนื่องจากโปรตีนมีส่วนประกอบของไนโตรเจนด้วยยังไงละ ดังนั้นการเติมเมลามีนเข้าไปในนมก็เลยทำให้เครื่องจักรวัดค่าของนมถูกหลอกไปนั่นเอง

สำหรับความจริงที่ต้องทราบคือโดยเฉลี่ยแล้วอาหารที่บรรจุภาชนะเมลามีนนั้นอาจจะมีสารเมลามีนติดกับอาหารได้ไม่เกิน 0.015 ส่วนต่อหนึ่งล้านส่วนของอาหารซึ่งไม่มีอันตรายแต่อย่างไรเนื่องจากปริมาณเมลามีนที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์นั้นเฉลี่ยตั้งแต่ 2.5 ส่วนต่อร่างกายคนหนึ่งล้านส่วน

ซึ่งสำหรับมนุษย์ผู้ใหญ่แล้วก็เหมือนกับว่าชายคนหนึ่งที่หนัก 70 กิโลกรัมต้องดื่มนมที่มีสารเมลามีนปนอยู่ 2.5 ส่วนต่อนมหนึ่งล้านส่วน ถึงวันละ 17.5 ลิตร จึงจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย (ใครจะบ้าดื่มนมได้ตั้งวันละสิบเจ็ดลิตรครึ่งได้)

แต่ผลิตภัณฑ์จากสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้นที่พบเมลามีนสูงที่สุดนั้นมีปริมาณของเมลามีนในนมผงถึง 65 ส่วนในนม 1 ล้านส่วน ซึ่งมีเมลามีนสูงกว่าระดับมาตรฐานกว่า 25 เท่า อย่างนี้เด็กไม่ตายไหวหรือ?

สรุปเรื่องผลิตภัณฑ์อาหารที่เป็นอันตรายต่อชีวิตของผู้บริโภคนั้นไม่ได้มีแต่ประเทศจีนหรอก

ที่เมืองไทยก็เยอะไปลองบริโภคผักสดและผลไม้ของเราที่ใช้ยาฆ่าแมลงขนาดฆ่าคนได้ก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป

ข้อแตกต่างระหว่างไทยกับจีนก็คือที่ประเทศจีนเขามีโทษประหารชีวิตสำหรับบุคคลที่ผลิตอาหารมีพิษแบบผลิตภัณฑ์นมปนเปื้อนสารเมลามีนนี้

แต่เมืองไทยไม่มีโทษหนักขนาดนั้น

หรือพูดอีกอย่างก็ได้ว่าที่เมืองไทยนั้นประชาชนต้องเสี่ยงเอาเอง ไม่มีใครสนหรอก

หน้า 6 

 

ที่มา  :  มติชนรายวัน,วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11190 



วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551

สนธิสัญญา และแผนที่ไทย(สยาม)-กัมพูชา



สนธิสัญญา และแผนที่ไทย(สยาม)-กัมพูชา พรมแดนความไม่รับรู้ของสื่อสาธารณะ



โดย อัครพงษ์ ค่ำคูณ วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


สำหรับผู้เขียนแล้ว พรมแดนความรับรู้เกี่ยวกับสนธิสัญญา พรมแดน และแผนที่ไทย-กัมพูชา ค่อนข้างแตกต่างมาก จากสิ่งที่ปรากฏในการนำเสนอของบรรดาสื่อสารมวลชนไทยในปัจจุบัน รวมทั้งบรรดา "ผู้รู้อิสระ" ทั้งหลายที่ออกมาให้สัมภาษณ์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา

ดังนั้น จึงขอโอกาสนำเสนอ พรมแดนความไม่รับรู้ หรือไม่ถูกนำเสนอ ผ่านสื่อสารมวลชนสาธารณะ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อเท็จจริงและหลักฐานเกี่ยวกับสนธิสัญญา และแผนที่ไทย(สยาม)-กัมพูชา

ประการแรก สนธิสัญญา พ.ศ.2447/ค.ศ.1904 และสนธิสัญญา พ.ศ.2450/ค.ศ.1907 และแผนที่ภาคผนวก 1 หรือ MAP ANNEX 1 กล่าวคือ บทบัญญัติที่เกี่ยวข้องในสนธิสัญญาระหว่างพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 กับฝรั่งเศส ฉบับวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2447/ค.ศ.1904 นั้น มาตรา 1 กำหนดให้ "เส้นเขตแดน คือ สันปันน้ำ" ซึ่งคำว่า "เส้นสันปันน้ำ" นี่เอง ได้ถูกนำมาเป็นข้อถกเถียงเรื่องดินแดนและอธิปไตยของไทยเหนือเขาพระวิหารบนเทือกเขาพนมดงรัก

แต่เอาเข้าจริงแล้ว ใน มาตรา 3 ของสนธิสัญญาฉบับเดียวกันนี้ ก็ได้ระบุเอาไว้ด้วยเช่นกันว่า

"ให้มีการปักปันเขตแดนระหว่างราชอาณาจักรสยามกับดินแดนที่ประกอบเป็นอินโดจีนฝรั่งเศส การปักปันนี้ให้กระทำโดยคณะกรรมการผสมประกอบด้วยพนักงานซึ่งประเทศภาคีทั้งสองแต่งตั้ง"

หมายความว่า แม้สนธิสัญญาจะกำหนดให้ "เส้นเขตแดน คือ สันปันน้ำ" แต่ "แนวเขตแดนที่แน่นอนจะได้กำหนดขึ้นโดยคณะกรรมการผสมฝรั่งเศส-สยาม" โดยมี พลเอก หม่อมชาติเดชอุดม เป็นประธานฝ่ายสยาม และ พันตรี แบร์นารด์ เป็นประธานฝ่ายฝรั่งเศส

ต่อมาสนธิสัญญาครั้งหลังสุดใน วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2450/ค.ศ.1907 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปลงสัตยาบันกับฝรั่งเศสด้วยพระองค์เอง โดยตกลงยกพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ เพื่อแลกกับด่านซ้ายและตราด รวมทั้งหมู่เกาะต่างๆ ของอำเภอแหลมงอบในปัจจุบัน เพื่อรักษาเอกราชและอธิปไตยส่วนใหญ่ของประเทศเอาไว้

และสนธิสัญญาทั้งสองฉบับนี้เอง ทำให้เกิดแผนที่ไทย (สยาม)-กัมพูชาขึ้น และพิมพ์สำเร็จเป็นครั้งแรกใน 1 ปี ต่อมาคือ พ.ศ.2451/ค.ศ.1908 และหนึ่งในแผนที่จำนวน 11 ระวาง ที่ถูกพิมพ์ขึ้นในชุดเดียวกันนี้ ก็ปรากฏเส้นเขตแดนตามแผนที่ระวางชื่อ "Dangrek" มีสัญลักษณ์ระบุอย่างชัดเจนว่าที่ตั้งของปราสาทพระวิหาร "Preas Vihear" อยู่ในเขตแดนของกัมพูชา

[แผนที่ฉบับนี้หาได้จาก Google โดยพิมพ์คำว่า Dangrek แล้วเลือกรูปภาพขนาดใหญ่พิเศษ]

ประการที่สอง กรณี "ศาสตราจารย์" ผู้รู้ทางกฎหมายของไทยท่านหนึ่งให้ "คำอธิบาย" ว่าแผนที่ไทย (สยาม)-กัมพูชา "เป็นการทำของฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่ถือว่าเป็นหลักฐานและสนธิสัญญา"

แต่ "คำอธิบาย" ของผู้รู้ท่านนี้ ขัดแย้งต่อหลักฐานและข้อเท็จจริง

กล่าวคือ แม้ว่าคณะกรรมการผสมสองฝ่ายไม่ได้ทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง และกระบวนการปักปันเขตแดนส่วนใหญ่กระทำขึ้น โดยฝ่ายฝรั่งเศส แต่ในที่สุดเมื่อตีพิมพ์แผนที่แล้วเสร็จในปี พ.ศ.2451/ค.ศ.1908 ฝ่ายสยามก็ยอมรับแผนที่ดังกล่าวไว้

และเอาเข้าจริงแล้ว แผนที่ภาคผนวก 1 หรือ MAP ANNEX 1 ที่กัมพูชาใช้แนบคำฟ้องเพื่อสู้คดีปราสาทพระวิหารในศาลโลก เมื่อปี พ.ศ.2502-2505/ค.ศ.1959-1962 ก็คือแผนที่แผนเดียวกันกับแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ระวางชื่อ "Dangrek" หนึ่งในแผนที่ทั้งหมด 11 ระวาง ระวางละ 50 แผ่น ได้แก่ 1.Maekhop and Chianglom 2.rivers in the north 3.Muang Nan 4.Paklai 5.Huang River 6.Pasak 7.Mekong 8.Dangrek 9.Phnom Kulen 10.Lake และ 11.Muang Trat

จากเอกสารราชการสถานทูตสยามในปารีส เลขที่ 89/525 ลงวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ.2451/1908 หม่อมเจ้าจรูญศักดิ์ กฤษดากร อัครราชทูตสยามประจำฝรั่งเศส ทรงกล่าวถึง "คณะกรรมการผสม - Mixed Commission of Delimitation" ว่า "ได้ทำหน้าที่สำเร็จแล้ว" และทรงรับแผนที่ชุดนี้มาจาก "Captain Tixier" เพื่อส่งมาถวาย สมเด็จกรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศของสยามขณะนั้น ซึ่งส่งมายังประเทศสยามทั้งหมด 11 ระวาง ระวางละ 44 แผ่น โดยทรงเก็บไว้ที่สถานทูตในฝรั่งเศสระวางละ 2 แผ่น และส่งไปยังสถานทูตสยามแห่งอื่นๆ ได้แก่ ลอนดอน เบอร์ลิน รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา แห่งละ 1 ชุด (ทั้ง 11 ระวาง ระวางละ 1 แผ่น)

ดังนั้น แผนที่ภาคผนวก 1 หรือ MAP ANNEX 1 จึงเป็นที่รับรู้ของฝ่ายสยามมาโดยตลอด ตั้งแต่ปี พ.ศ.2451/ค.ศ.1908 หากจะมี "ผู้รู้อิสระ" บางท่านกล่าวว่า "เป็นแผนที่ซึ่งฝรั่งเศสทำปลอมขึ้นทีหลัง เพื่อให้ฝ่ายกัมพูชาเอาไปใช้สู้คดีในศาลโลก" จำต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนในถ้อยคำดังกล่าว

เพราะแผนที่นี้ปัจจุบันก็มีอยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศของไทย พิมพ์โดย H.BARRERE, Edituer Geographe.21 Rue du Bac, PARIS.

ประการที่สาม การรณรงค์ดินแดนที่เรียกว่า "มณฑลบูรพา" โดยอ้างอิง อนุสัญญาโตเกียว พ.ศ.2484 (ค.ศ.1941) ซึ่งทำให้ฝ่ายไทยได้เข้าไปครอบครองดินแดนกัมพูชาที่จังหวัดพระตะบอง และเสียมราฐที่ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "จังหวัดพิบูลสงคราม" รวมทั้งดินแดนลาวที่ "จังหวัดลานช้าง" และ "จังหวัดจำปาศักดิ์"

แต่เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมีการลงนามในสนธิสัญญาอีกหนึ่งฉบับคือ สนธิสัญญาวอชิงตัน พ.ศ.2489 (ค.ศ.1946) ระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรกับรัฐบาลไทย ซึ่งกำหนดให้ฝ่ายไทยต้องถอนกำลังทหารออกจากดินแดนทั้งหมด ที่ไทยเคยบุกเข้าไปครอบครองในช่วงสงคราม เนื่องจากรัฐบาลไทยนำโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้ร่วมมือกับฝ่ายอักษะ คือ ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่เพราะมีขบวนการเสรีไทยที่นำโดย ดร.ปรีดี พนมยงค์ ทำให้ประเทศไทยไม่ต้องตกอยู่ในฐานะประเทศแพ้สงครามในครั้งนั้น

เพราะฉะนั้น หากจะอ้างอิงอนุสัญญาโตเกียว พ.ศ.2484 (ค.ศ.1941) ก็จำเป็นต้องให้ข้อมูลกับสาธารณชนว่ายังมีสนธิสัญญาวอชิงตัน พ.ศ.2489 (ค.ศ.1946) ด้วยเช่นกัน

และถึงแม้จะมีข้อถกเถียงว่า "รัฐบาลมิได้ขอสัตยาบันจากรัฐสภา" แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า รัฐบาลในขณะนั้นก็คือ ขบวนการเสรีไทย ทำให้ประเทศชาติของเรารอดพ้นจากสถานะ "ประเทศผู้แพ้สงคราม" สามารถดำรงความเป็นเอกราชและอธิปไตยมาได้จนถึงปัจจุบัน

ประการสุดท้าย กรณีที่ "ผู้รู้อิสระ" ท่านหนึ่งออกมาโพนทะนาว่า "ค้นพบแผนที่ลับ" ของฝรั่งเศส นั้น แท้จริงแล้ว แผนที่ดังกล่าวเป็นเพียงแผนที่ประกอบบทความซึ่งปรากฏอยู่ใน "Les relations de la France et du Siam 1860/1907" ซึ่งตัดตอนมาจากบทความในวารสารแห่งกองทหารฝรั่งเศสในอาณานิคม เขียนโดย ร้อยเอก โซฟ (le capitaine SEAUVE) อดีตสมาชิกในคณะสำรวจปาวี (Mission Pavie) ซึ่งเดินทางเข้ามาสำรวจทำแผนที่ในปี พ.ศ.2426 เพื่อกำหนดเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาและลาวอันเป็นดินแดนที่อยู่ในอารักขาของฝรั่งเศส

ปัจจุบันบทความดังกล่าว กรมศิลปากรได้ทำการแปลเป็นภาษาไทย และจัดพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ "สัมพันธภาพของประเทศฝรั่งเศสกับประเทศสยาม พ.ศ.2223-2450" เมื่อปี พ.ศ.2544 โดยแปลจากต้นฉบับภาษาฝรั่งเศส โดย อาจารย์นันทพร บรรลือสินธุ์ [หาได้ตามศูนย์หนังสือทั่วไป เช่น ที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ ขาย 72 บาท]

แผนที่ดังกล่าว ปรากฏในหนังสือหน้าที่ 178 ซึ่งวาดขึ้นเพื่อประกอบบทความ ว่าด้วยอาณาบริเวณที่สยามกับฝรั่งเศสนำมาแลกกันตามสนธิสัญญาลงวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2450/ค.ศ.1907 ระบุไว้ว่า "CONVENTION DU 23 MARS 1907" ซึ่งวาดขึ้นโดยไม่ระบุพิกัดองศาเส้นรุ้งและเส้นแวง รวมทั้งไม่ปรากฏสัญลักษณ์หรือระบุที่ตั้งของปราสาทพระวิหารแต่อย่างใด และด้านล่างของแผนที่มีภาษาฝรั่งเศสระบุว่า "Revue des troupes colonials n65" โดยมี Henri CHARLES-LAVAUZELLE เป็นผู้พิมพ์ [ในเอกสารใช้คำภาษาฝรั่งเศสว่า editeur แต่ภาษาอังกฤษแปลว่า publisher แปลว่า ผู้พิมพ์]

ดังนั้น หากพิจารณาโดยหลักวิชาการพื้นฐาน "ประวัติศาสตร์" ว่าด้วย "ลำดับชั้นของหลักฐาน" ที่แบ่งเป็น หลักฐานชั้นต้น หลักฐานชั้นรอง หรือหลักฐานชั้นปลาย แล้วจึงสรุปได้อย่างไม่มีข้อสงสัยว่า สถานะของการ "ค้นพบแผนที่ลับ" ของ "ผู้รู้อิสระ" รายนี้ เป็นเพียงหลักฐานชั้นปลายแถว ในการศึกษาเหตุการณ์เกี่ยวกับสนธิสัญญา และแผนที่ไทย (สยาม)-กัมพูชา ซึ่งมีการลงนามและทำขึ้นระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ช่วงปี พ.ศ.2447-2451/ค.ศ.1904-1908

อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้รู้ นักวิชาการ ทั้งที่มีและไม่มีสังกัด อาจจะต้องทบทวนสิ่งที่ตนได้ออกมาแสดงความคิดเห็น อย่างเป็น "อิสระ" โดยบางครั้งขาดความรับผิดชอบทางวิชาการต่อข้อเท็จจริงและข้อมูลหลักฐานเบื้องต้น เพราะบรรดา "ความอิสระ" ทั้งหลายนั้น อาจไม่ต้องคำนึงมากนักถึง ผลที่ตามมาต่อความรับรู้และความรู้สึกสาธารณะของประชาชน รวมทั้งเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่ในองค์กรที่เกี่ยวข้องกับปัญหาดังกล่าวที่กำลังทำงานกันอย่างสุดความสามารถ

แต่สิ่งที่ "ผู้รู้อิสระ" ทั้งหลายพูดออกไปนั้น บัดนี้ได้กลายเป็น "วาทะกรรม" ที่ถูกนำไปขยายผล "เล่าสู่กันฟัง" กลายเป็น "อาณาจักรแห่งความหวาดระแวง และมืดบอดระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน" ทั้งในมิติด้านกว้างและด้านลึก

เท่าที่จำได้ อาจารย์สมฤทธิ์ ลือชัย นักวิชาการอุษาคเนย์ เคยกล่าวไว้ว่า "เรียนแล้วไม่คิดเสียเวลา แต่ถ้าคิดโดยไม่เรียน อันตราย!" และในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาต้องเพิ่มเติมด้วยว่า "เรียนมาค้นคว้ามาเป็นอย่างดี แต่กลับเอามาคิดเข้าข้างแต่ตนเอง โดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นมนุษย์ของกันและกันแล้ว ก็ยิ่งอันตราย"

ขอจบท้ายด้วยคำขวัญรณรงค์เพื่อ "สมานฉันท์อุษาคเนย์" ของ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ที่ว่า "Make Love Not War"

[เพิ่มเติมข้อมูลเกี่ยวกับกรณีปราสาทเขาพระวิหาร http://www.charnvitkasetsiri.com]

หน้า 6

ที่มา  :  มติชนรายวัน,วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11189 

 

 

 

ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา บนพรมแดนเขาพระวิหาร




โดย วัชรินทร์ ยงศิริ นักวิจัยประจำสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


คำนำ

เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2551 เวลาประมาณ 14.25 น. ทหารไทยและทหารกัมพูชาได้ปะทะกันที่ภูมะเขือ จุดพรมแดนในพื้นที่ทับซ้อน ห่างจากตัวปราสาทพระวิหารไปทางทิศตะวันตกประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม นายกรัฐมนตรีฮุน เซน ของกัมพูชาได้ประกาศยื่นคำขาดให้ทหารไทยถอนกองกำลังออกจากดินแดนกัมพูชาภายในเวลาเที่ยงวันของวันที่ 14 ตุลาคม นี่จึงเป็นที่มาของเหตุการณ์สู้รบกันของทหารสองฝ่าย

คำถามได้เกิดขึ้นมากมายว่าทำไมกัมพูชาจึงกลับตาลปัตรหันมาใช้กำลังกับไทย ทั้งๆ ที่ได้มีความพยายามของทั้งสองฝ่ายในการเปิดเจรจาแก้ไขปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธีไปหลายรอบแล้ว

ผู้เขียนตั้งใจนำเสนอบทความนี้ขึ้นมา โดยขอเขียนจากมุมมองของกัมพูชาว่าคิดอย่างไรเหตุใดกัมพูชาจึงกล้าเปิดศึกเผชิญหน้ากับไทย ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีศักยภาพเหนือกว่าทางทหาร และเศรษฐกิจ ทั้งนี้จะขอเสนอเป็นลำดับไป

มุมมองของกัมพูชาต่อพื้นที่ทับซ้อน

ดินแดนกัมพูชาที่นายกรัฐมนตรีฮุน เซน กล่าวอ้างและยื่นคำขาดให้ทหารไทยถอนกำลังออกไปนั้น หมายถึงพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งในทรรศนะของกัมพูชาแล้วไม่มีพื้นที่ทับซ้อนพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรตรงนั้นอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชาตามแผนที่สยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1907 ที่กัมพูชายึดถือมาตลอด

ส่วนฝ่ายไทยพูดถึงตลอดเวลาในการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งบนพรมแดนนั้น คือ พื้นที่ทับซ้อนที่เกิดจากการถือแผนที่คนละฉบับกับกัมพูชา ไทยยึดถือเส้นเขตแดนตามมติคณะรัฐมนตรี พ.ศ.2505 (ค.ศ.1962) หลังจากคืนปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาตามคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศแล้ว

การที่กัมพูชามีความคิดที่ต่างจากไทยและต่างฝ่ายต่างยึดถือแผนที่คนละฉบับ จึงทำให้พื้นที่ขัดแย้งตรงนี้ไม่สามารถเจรจาแก้ไขลงได้ อย่างไรก็ตาม การประชุมเจรจาระหว่างสองประเทศที่ผ่านมาได้บรรลุผลเป็นที่น่าพอใจในระดับหนึ่ง ที่แต่ละฝ่ายจะคงกองกำลังทหารไว้ในพื้นที่ขัดแย้งนี้ให้เหลือน้อยที่สุดฝ่ายละ 30 นาย เพื่อลดสภาวะความตึงเครียดชายแดนลง

เวลาผ่านไปจนกระทั่งเดือนตุลาคมที่ชายแดนได้กลับมาปะทุความรุนแรงขึ้นอีก เมื่อนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ประกาศให้ทหารไทยถอนกำลังออกจากพื้นที่พิพาท เนื่องจากไม่พอใจที่กองทหารพรานของไทยเข้าไปตั้งฐานปฏิบัติการประจำการอยู่ที่ภูมะเขือ ถือว่าเป็นการรุกรานดินแดนกัมพูชา 

แม้แต่นายเขียว กันหะฤทธิ์ รัฐมนตรีกระทรวงข่าวสารและโฆษกรัฐบาลกัมพูชา ยังเรียกการปรากฏตัวของทหารไทยในพื้นที่ข้อพิพาทว่า "นี่คือการรุกรานดินแดนกัมพูชา เรา (กัมพูชา) จะไม่อนุญาตให้คนไทยอยู่ในดินแดนกัมพูชาต่อไป เราจะไม่ยอมทนต่อการกระทำนี้เพราะถือว่าประเทศไทยรุกรานดินแดนของเรา"

ดังนั้น เมื่อกองทหารพรานของไทยออกทำการลาดตระเวนในบริเวณภูมะเขือ ซึ่งทหารไทยถือว่าเป็นพื้นที่ของไทย เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม แล้วเผชิญหน้ากับกองทหารลาดตระเวนของกัมพูชาจึงทำให้ทหารกัมพูชาซึ่งมีความเข้าใจว่าทหารไทยรุกเข้าไปในดินแดนกัมพูชา ออกคำสั่งให้ทหารไทยถอยกองกำลังออกจากภูมะเขือ ไม่เช่นนั้นทหารกัมพูชาจะปฏิบัติการโจมตีทหารไทยเพื่อขับไล่ ฝ่ายทหารไทยไม่ยอมถอยเพราะถือว่าเป็นดินแดนไทยที่ต้องปกป้องอธิปไตย

ในที่สุดได้เกิดการสู้รบกันระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา โดยต่างฝ่ายต่างกล่าวหากันว่าเป็นฝ่ายเริ่มต้นยิงก่อนฝ่ายตนจึงต้องยิงตอบโต้เพื่อป้องกันตัว

การสู้รบบนพรมแดนเขาพระวิหาร

มีคำถามขึ้นมาว่า เหตุใดกัมพูชาจึงกล้าเปิดฉากรบกับไทย ทั้งๆ ที่รู้ว่าไทยมีกำลังทหารที่มีประสิทธิภาพกว่าและมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยกว่า

เรื่องนี้ผู้เขียนขอรวบรวมแนวคิดของผู้บริหารระดับสูงของกัมพูชามาประมวลให้เห็นดังนี้

"การรุกล้ำดินแดนกัมพูชาของฝ่ายไทยเป็นการทดสอบความมุ่งมั่นของกัมพูชาว่าจะกล้าเผชิญหน้ากับประเทศเพื่อนบ้านที่ใหญ่กว่าหรือไม่ในปัญหาพรมแดน" นี่เป็นคำให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวของปลัดกระทรวงกลาโหมกัมพูชา จุม สมบัติ

"เชื่อว่าไทยต้องการจะทดสอบเรา (กัมพูชา) ถ้าหากเราไม่ตอบโต้และแสดงความอ่อนแอออกมา ไทยจะถือโอกาสยึดดินแดนไปจากเรา ไม่มีเหตุผลใดที่ทหารไทยจะมากล่าวอ้างว่าเป็นดินแดนของไทยและไม่ยอมถอนกองกำลัง เพราะประชาคมนานาชาติต่างพากันรับรองแผนที่ซึ่งกัมพูชาลากเส้นพรมแดนครอบคลุมพื้นที่ดังกล่าว"

"เรา (กัมพูชา) มีอาวุธมากมาย แต่เราไม่ต้องการละเมิดสนธิสัญญามิตรภาพของอาเซียน และเราหวังว่าความขัดแย้งนี้จะไม่นำไปสู่การสู้รบของสองฝ่าย" นายเขียว กันหะฤทธิ์ รัฐมนตรีกระทรวงข่าวสารและโฆษกรัฐบาลกัมพูชาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงแรกของวิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา หลังจากกัมพูชาประสบความสำเร็จในการยื่นเสนอต่อ UNESCO ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก

จากแนวคิดที่ยกมาอ้างนี้ แสดงออกถึงความพร้อมของกัมพูชาที่จะเผชิญหน้ากับไทยทั้งด้านจิตใจอันกล้าหาญของทหารกัมพูชา เพราะเคยผ่านสงครามมาแล้วอย่างยาวนาน และด้านอาวุธยุทโธปกรณ์

สำหรับด้านอาวุธนั้นไทยไม่ควรประมาทมองข้ามกัมพูชาว่าเป็นประเทศยากจนจะมีแต่เขี้ยวเล็บผุๆ หาเป็นเช่นนั้นไม่ ปัจจุบันกัมพูชาได้พัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารให้ทันสมัยโดยได้รับความช่วยเหลือจากจีน อาทิ รถถัง ปืนใหญ่ รถบรรทุกทหาร รถจี๊ปทหาร และอาวุธปืนไรเฟิลอัตโนมัติ เป็นต้น

กรณีที่ผู้นำกัมพูชาออกมาประกาศให้ไทยถอนตัวออกจากดินแดนข้อพิพาทอย่างเร่งด่วนในระยะต้นเดือนตุลาคมนี้ มีเหตุผลกดใดเป็นเงื่อนงำซ่อนอยู่ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ได้ส่งตัวแทนทั้งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศประชุมเจรจากับผู้แทนไทยเป็นระยะๆ

ผู้เขียนขอวิเคราะห์ประเด็นดังนี้

ปัจจัยภายในของกัมพูชา

ภายหลังจากกัมพูชาเสนอขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกได้สำเร็จแล้วกัมพูชายังมีภาระต้องทำรายงานความก้าวหน้าเสนอต่อ UNESCO ในอีก 2 ปีข้างหน้า ด้วยเหตุนี้ นายกรัฐมนตรีฮุน เซน จึงต้องการแสดงความสำเร็จในการดำเนินนโยบายของผู้นำ โดยการนำพื้นที่โดยรอบปราสาทมาเป็นองค์ประกอบให้ครบถ้วนของแหล่งโบราณสถานและเพื่อความสมบูรณ์ของการเป็นมรดกโลก

นั่นย่อมหมายถึงว่า กัมพูชาต้องการนำพื้นที่จุดขัดแย้งนี้มาเป็นองค์ประกอบของตัวปราสาทพระวิหาร และต้องการบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทโดยลำพัง ไม่ต้องการร่วมกับไทย จึงเร่งรีบดำเนินการโดยมิได้นำเอาการเจรจากับไทยหลายครั้งที่ผ่านมาเข้าสู่การพิจารณาไตร่ตรอง

อีกประการหนึ่ง มีความเป็นไปได้ว่านายกรัฐมนตรีฮุน เซน มีจุดประสงค์ที่จะเร่งรัดพัฒนาการท่องเที่ยวของกัมพูชาให้ขยายตัวแหล่งท่องเที่ยวออกไป เมื่อปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแล้วก็ปรารถนาจะประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชม ทั้งนี้แหล่งท่องเที่ยวเดิมที่นครวัด-นครธม ในระยะ 1-2 ปีมานี้มีนักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชมอย่างมากล้น แต่ละปีมีจำนวนประมาณ 1.6-1.7 ล้านคน

รัฐบาลกัมพูชาเกรงว่าแหล่งโบราณสถานดังกล่าวจะเสื่อมทรุดในเวลาอันรวดเร็ว จึงปรารถนาจะเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวใหม่เข้าด้วยกันกับแหล่งเก่า เพื่อกระจายนักท่องเที่ยวออกไป ซึ่งเป็นการยืดอายุแหล่งโบราณสถานในจังหวัดเสียมเรียบ และเป็นการขยายเวลาการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวในกัมพูชาออกไป

ปัจจัยภายนอก

นายกรัฐมนตรีฮุน เซน มองเห็นว่าในเวลานี้ประเทศคู่เจรจาคือประเทศไทย มีความอ่อนแอทางการเมือง รัฐบาลไร้เสถียรภาพ ประชาชนแตกแยกทางความคิดออกเป็นหลายฝ่าย จึงควรถือโอกาสนี้กดดันไทย โดยเฉพาะให้ถอนทหารออกจากพื้นที่ขัดแย้ง ซึ่งกัมพูชาคาดการณ์ว่าตนจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพราะไทยต้องเผชิญกับปัญหา 2 ด้าน คือ ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองภายในและปัญหาความขัดแย้งกับกัมพูชาภายนอก ไทยจะมีความพะวักพะวนทำให้อาจยอมความโดยง่าย

การเล็งผลเลิศของผู้นำกัมพูชาเช่นนี้ ในขณะที่ไทยมีการเปลี่ยนรัฐบาล อันเป็นเหตุให้การเจรจาระหว่างไทยกับกัมพูชาต้องหยุดชะงักลงชั่วคราว จึงเป็นโอกาสของกัมพูชาที่จะเอาชนะไทย

ความลงท้าย

เหตุการณ์ที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นบทเรียนอันมีคุณค่ายิ่งที่คนไทยควรจะหันหน้ามาปรองดองกันเพื่อเป็นกำลังปกป้องแผ่นดินไทย

ตราบใดที่คนไทยยังแตกแยกขาดความสามัคคี รังแต่จะทำให้ประเทศชาติอ่อนแอ จนไม่มีเกียรติภูมิ เกียรติศักดิ์ ที่ประเทศอื่นจะให้ความยำเกรง

ซึ่งผู้นำกัมพูชาได้กล่าวเปรียบเปรยไว้ว่า "มดตัวเล็กๆ ก็สามารถทำให้ช้างเจ็บได้"

หน้า 7

 

ที่มา  :  มติชนรายวัน, วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11189 

 

ข่าวดีสำหรับคนหัวล้าน !!



คนหัวล้านเฮวท.ประกาศความสำเร็จ

 

โดย  ไทยรัฐออนไลน์,28 ต.ค. 51 

 

นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ วท.เตรียมประกาศความสำเร็จในการใช้อนุภาคนาโนเทคโนโลยี ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขนาดจิ๋ว มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น มีขนาดหนึ่งส่วนในล้านส่วน โดยนำความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดังกล่าวมาปลูกผมแก่ผู้ที่มีปัญหาผมร่วง ศีรษะล้าน ให้กลับมามีผมดกดังเดิมหรือใกล้เคียง โดยความสำเร็จดังกล่าวเกิดขึ้นจากการประยุกต์ใช้นาโนเทคโนโลยีในการนำส่งสารอาหารเข้าสู่ชั้นใต้ผิวหนังที่อยู่ลึกได้อย่างรวดเร็ว โดยนักวิทยาศาสตร์ของศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ได้นำเอนไซม์หรือโปรตีนในสารอาหารที่มีคุณประโยชน์ ต่อร่างกาย อาทิ แร่ธาตุ วิตามิน เป็นต้น มาเพาะเลี้ยงให้สามารถซึมเข้าสู่ผิวหนังศีรษะของมนุษย์ เพื่อให้สารอาหารดังกล่าวไปหล่อเลี้ยงหนังศีรษะที่ขาดสารอาหาร ให้กลับคืนมามีชีวิตดังเดิม และสามารถทำให้ผมงอกขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ 

รมว.วท.กล่าวต่อว่า จากการศึกษาพบว่าส่วนใหญ่ คนที่มีศีรษะล้าน ไม่ได้เกิดจากกรรมพันธุ์ แต่เกิดจากการขาดสารอาหารไปหล่อเลี้ยง ยิ่งอายุมากสารอาหารที่ไปเลี้ยงหนังศีรษะก็ยิ่งน้อยลง การที่จะให้ศีรษะกลับมามีผมดกดังเดิมต้องนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงหนังศีรษะ ซึ่งในผู้สูงอายุปลายประสาทจะมีการอุดตัน จึงต้องหาสารอาหารที่มีขนาดเล็กมากกว่ารูขุมขน ซึ่งก็คืออนุภาคนาโนเทคโนโลยี มาใช้เพื่อให้สามารถซึมเข้าได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ กระบวนการในการนำอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกาย มี 3 ช่องทาง คือ 1. การย่อยสลายผ่านกระเพาะอาหาร 2. การดื่มเพื่อให้ร่างกายดูดซึม และ 3.การซึมผ่านชั้นผิวหนัง ซึ่งมีแต่อนุภาคนาโนเทคโนโลยีเท่านั้นที่สามารถแทรกซึมเข้าสู่ผิวหนังได้อย่างดี โดย วท.ได้ใช้วิธีการที่ 3 ใช้น้ำยาแบบพิเศษที่สกัดจากกระบวนการนาโนฯมาทาบริเวณหนังศีรษะ จากการทดสอบกับมนุษย์เบื้องต้นพบว่าได้ผลน่าพอใจคนที่มีศีรษะล้านโล่งกลับมามีผมขึ้นรวดเร็วเพียง 1 เดือน 

ด้าน นพ.อุดมศักดิ์ หุ่นวิจิตร อายุรแพทย์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า วิธีดังกล่าวเป็นเพียงวิธีหนึ่งของการรักษา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ปัญหาผมร่วงหากรักษาโดยการใช้ยาทาหรือยากิน จะใช้เวลา 6 เดือน-1 ปี จึงจะเริ่มเห็นผล ซึ่งในกลุ่มที่มีภาวะศีรษะล้านมาก อาจต้องรักษาด้วยวิธีปลูกผม เพราะการใช้ยากินหรือยาทาจะใช้ได้เฉพาะจุดเท่านั้น.  



ประโยชน์ของการผายลม




ผายลมมีบทบาทสำคัญชีวิต เป็นตัวควบคุมความดัน โลหิตไม่ให้สูง

 

นักวิจัยมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปส์กินของอเมริกา เพิ่งพบความสำคัญของก๊าซไข่เน่า ซึ่งมีอยู่ในลมที่ระบายออกจากส่วนล่างของร่างกายคนเราอยู่เล็กน้อย มีความสำคัญ ในฐานะเป็นตัวควบคุมความดันโลหิตด้วย

ก๊าซนี้เกิดจากการสร้างของแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ตามลำไส้ของเรา และดูเหมือนว่า ยังมาจากการสร้างของเอนไซม์ในหลอดเลือด เพื่อช่วยให้หลอดเลือดคลายตัวและความดันโลหิตลดต่ำลง

วารสารวิชาการ วิทยาศาสตร์ยังได้ รายงานว่า ความรู้ที่ได้จากการศึกษากับหนูทดลอง ครั้งนี้ ทำให้เกิดความหวังว่า จะได้หนทางใหม่ เอาไปใช้ในการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดของคนเราได้

ศาสตราจารย์อัมฤต อาลูวาเลีย ผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชวิทยาของอังกฤษ กล่าวแสดงความเห็นว่า เรารู้ว่าก๊าซนี้มีมากก็ไม่ดี แต่มันดูเหมือนว่าร่างกายจะขาดมันในปริมาณเล็กน้อยไม่ได้เลย”.

 

ที่มา  :  ไทยรัฐออนไลน์,28 ต.ค. 51 




วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ทำลายป่า..เสียหายกว่าแบงก์ล้ม

สาระน่ารู้

ทำลายป่า..เสียหายกว่าแบงก์ล้ม

26 ตุลาคม 2551

เป็นข่าวขึ้นหน้าหนึ่งทั่วโลกทุกวัน สำหรับเรื่องของปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ จากอเมริกามาถึงยุโรป ลามถึงเอเชีย พร้อมกับกระแสความเครียดของผู้คน ประหนึ่งว่าโลกนี้จะถล่มทลาย
ดังนั้น พอไปเจอเรื่องนี้เข้าจึงต้องสรรหามาเล่าต่อค่ะ

ผลการศึกษาของคณะกรรมการสหภาพยุโรป พบว่า การตัดไม้ทำลายป่าส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโลกมากกว่าวิกฤติการเงินในขณะนี้

การตัดไม้ทำลายป่าจะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่าประมาณ 2 ล้านล้าน ถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี หรือประมาณ 69 ล้านล้าน ถึง 172 ล้านล้านบาท เนื่องจากป่าไม้มีคุณประโยชน์อเนกอนันต์ เป็นต้นกำเนิดของแหล่งน้ำที่ใสสะอาด และยังช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ดังนั้นการตัดไม้ทำลายป่าจึงสร้างความเสียหายสูงมาก

ผู้ที่จัดทำผลการศึกษานี้คือ นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารดอยช์แบงก์ ซึ่งระบุว่า ความเสียหายจากวิกฤติการเงินถือเป็นเรื่องเล็กไปเลยถ้าเทียบกับความเสียหาย ที่เกิดจากการตัดไม้ทำลายป่า ความเสียหายจากวิกฤติการเงินล่าสุด มีมูลค่าอยู่ที่ 1 ล้านล้าน ถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ความเสียหายจากการตัดไม้ทำลายป่า มีสูงถึง 2 ล้านล้าน ถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี วิกฤติการเงินเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่การโค่นป่าเป็นปัญหาที่เกิดซ้ำซากต่อเนื่องกันมานานหลายสิบปีแล้ว มูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงมีมากกว่า

เป็นไงล่ะ..หวังว่าอเมริกาเอาตัวรอดจากแฮมเบอร์เกอร์ไครซิสได้ ก็ต้องมาดูแลเรื่องภาวะโลกร้อนด้วยนะเออ.

ที่มา : ไทยโพสต์แทบลอยด์,26 ตุลาคม 2551

พระพม่า ‘คว่ำบาตร’ คณาธิปไตยเผด็จการทหาร

โดย ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

1

ปรากฏการณ์ ทางการเมืองในเดือนกันยายน 2550 ที่พระสงฆ์จำนวนเป็นหมื่นเป็นแสนในพม่า ลุกขึ้นมาประท้วงด้วยสันติวิธี พร้อมกับทำการ “คว่ำบาตร” ระบอบเผด็จการทหารของนายพลตันฉ่วย จนนำไปสู่การปราบปรามอย่างรุนแรงด้วยกำลังทหารและอาวุธสงครามนั้น ในด้านหนึ่งก็ดูเหมือนกับเรื่อง “ปกติธรรมดา” สำหรับการเมืองพม่าที่จะต้องปราบปรามขบวนการประชาธิปไตยของประชาชน แต่ในทางกลับกันก็นับได้ว่าเป็นสถานการณ์ใหม่ที่ทำให้เกิดความหวังขึ้นกับ ขบวนการประชาธิปไตยพม่าที่ชงักงันมาถึงเกือบ 20 ปี


2

ใน แง่ของ “ความปกติธรรมดา” หรือ “ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย” นั้น ก็คือ พระสงฆ์ในพม่าได้มีบทบาทเช่นนี้ในการเมืองมาตั้งแต่สมัยอยู่ภายใต้ “ลัทธิอาณานิคม” ของอังกฤษ กล่าวคือ เมื่ออังกฤษเข้ายึดครองพม่าได้ทั้งหมดในปี พ.ศ.2428 (ค.ศ.1885) ตรงกับต้นสมัยรัชกาลที่ 5 ของสยามประเทศ) นั้น อังกฤษได้ล้มเลิกสถาบันกษัตริย์พม่า จับพระเจ้าธีบอ (หรือสีป่อ) กับพระนางศุภยลัต ตลอดจนพระราชวงศ์ทั้งหมด เนรเทศไปอยู่อินเดียตะวันตก (ด้านเมืองมุมไบ) สถาบันกษัตริย์ของพม่าทรงพลังเกินกว่าที่อังกฤษจะเก็บรักษาไว้เป็นสัญลักษณ์ หรือหุ่นเชิด อย่างในกรณีที่เจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสรักษาสถาบันกษัตริย์ลาว / กัมพูชา / เวียดนาม เอาไว้ในกลุ่มประเทศอินโดจีน


3

ดัง นั้น ภาระของการเป็น “ผู้นำ” ของสังคมพม่าในช่วงนั้น ก็ตกอยู่กับสถาบันศาสนาและพระสงฆ์ไปโดยปริยายนั่นเอง น่าสนใจที่ว่าเมื่ออังกฤษเข้ามามีอำนาจปกครองแทนกษัตริย์พม่านั้น อังกฤษมิได้ให้ความสนใจต่อสถาบันศาสนา เพราะถือว่ารัฐกับศาสนจักรต้องแยกจากกัน อังกฤษถือว่าตนได้ให้เสรีภาพไปแล้ว ใครจะถือศาสนาอะำไร จะจัดการกับองค์การศาสนาอย่างไร ก็เป็นเรื่องเสรีภาพและสิทธิของบุคคล รัฐไม่พึงเข้าไปยุ่งเกี่ยว แม้แต่การตั้งตำแหน่ง “สังฆราช” หรือ Thathanabaing ที่กษัตริย์พม่าเคยทรงกระทำ เจ้านายอังกฤษก็ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย องค์การศาสนาจึงเสมือนถูกละเลย (ลักษณะของวังกับวัดขาดหายไป) เกิดความปั่นป่วนขึ้นในวงการ เกิดความไม่พอใจในหมู่พระสงฆ์ไม่น้อย


4

ใน ขณะเดียวกัน กระแสของความไม่พอใจต่อการที่มี “เจ้าต่างด้าวท้าวต่าวแดน” ก็สร้างความรู้สึกแบบที่เราจะมารู้จักกันในนามของ “ลัทธิชาตินิยม” ในเมื่อกษัตริย์ถูกจำกัดออกไป และผู้นำที่เป็นฆราวาสถูกปราบปรามอย่างหนัก พระสงฆ์ก็กลายเป็นผู้นำอาจจะเพียงกลุ่มเดียวที่ยังเหลืออยู่ ดังนั้น การประท้วงแสดงความไม่พอใจ ก็จะเป็นเรื่องที่เริ่มด้วยประเด็นทางวัฒนธรรมประเพณี ความตกต่ำของศาสนา วิธีการของพระสงฆ์ในยุคสมัยนั้นมีหลายแบบ ตั้งแต่การวิพากษ์วิจารณ์ระบบสังคม การเรียกร้องให้อังกฤษทำนุบำรุงศาสนา การอดอาหาร (อย่างแบบของมหาตมะคานธี) ดังในกรณีของพระรูปหนึ่งนาม “อูวิสระ” ก็อดอาหารประท้วงถึง 166 วัน จนถึงแก่มรณภาพ ท่านได้รับความเคารพนับถือมาก ถึงกับมีอนุสาวรีย์อยู่กลางเมืองย่างกุ้งในสมัยหลังจากได้รับเอกราช


5

บทบาท เช่นนี้ของพระสงฆ์ จะถูกสืบทอดไปยังคนรุ่นใหม่ที่เป็นหนุ่มสาว และได้รับการศึกษาจากโรงเรียนและวิทยาลัยแบบใหม่ ที่ตั้งขึ้นภายใต้ลัทธิอาณานิคมอังกฤษ ฉะนั้น ทั้งพระและฆราวาส ก็จะประสานกันในการต่อสู้เพื่อ “เอกราชและประชาธิปไตย” จากอาณานิคมอังกฤษในปี 2449/1906 ถึงกับมีการตั้งองค์ขึ้นมาในนามของ Young Men Buddhist Association หรือ YMBA โปรดสังเกตว่านี่เป็นการเลียนแบบ YMCA ของชาวคริสต์ฝรั่ง YMBA หรือ “สมาคมชาวพุทธหนุ่ม” จะกลายเป็นศูนย์กลางของขบวนการชาตินิยม เน้นกิจกรรมด้านศาสนาและวัฒนธรรม สร้างแรงกดดันให้อังกฤษต้องตั้งงบประมาณช่วยเหลือต่อกิจกรรมและการศึกษาพุทธ ศาสนา และ “สมาคมชาวพุทธหนุ่ม” ก็ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในกรณีของการประท้วงใหญ่ที่เรียกว่า “กบฏเกือก” หรือ No Footwear Protest เมื่อปี 2461/1918 ที่ต่อต้านการที่ฝรั่งหรือชาวต่าวชาติอื่นๆ สวมเกือกหรือรองเท้าเข้าไปในบริเวณวัด


6

บทบาท ดังกล่าวของ “สมาคมชาวพุทธหนุ่ม” ร่วมกับบรรดาพระสงฆ์นี้จะถูกส่งทอดต่อไปยังคนรุ่นต่อมาอีก เช่น General Council Burmese Association หรือ GCBA ในปี 2463/1920 พร้อมๆ กันนี้ พระพม่าอย่าง “อูอุตมะ” ก็กลายเป็นผู้นำพระสงฆ์รุ่นใหม่ ที่พยายามตีความพุทธศาสนาในรูปแบบใหม่ๆ เช่นว่า พุทธศาสนานั้น สอดคล้องกับการต่อสู้เพื่อเอกราช การที่มนุษย์จะตัดกิเลสได้ จะต้องผ่านขั้นตอนของการมีอิสระเสรีภาพเสียก่อน ชาวพุทธจะต้องช่วยกันในการต่อสู้นี้ “อูอุตมะ” ยังตีความพระศาสนาต่อไปอีกว่า “ลัทธิสังคมนิยม” นั้นมีเนื้อหาสอดคล้องกับ “โลกนิพพาน” ของชาวพุทธ และท่านก็ได้รณรงค์ต่อต้านเจ้าอาณานิคมอังกฤษด้วยการ “คว่ำบาตร” และนี่ก็เป็นที่มาของการที่เราได้เห็นการ “คว่ำบาตร” ในการประท้วงครั้งล่าสุดในเดือนกันยายน 2550


7

กล่าว ได้ว่า ทั้งพระสงฆ์และองค์กรที่เชื่อมโยงกันอย่าง YMBA และ GCBA นั้นประสบความสำเร็จไม่น้อย และก็ส่งทอดมรดกของการต่อสู้เพื่อเอกราชและประชาธิปไตยไปยังรุ่นของคนที่จะ นำมาซึ่งเอกราชของชาติ นั่นคือ กลุ่มนักชาตินิยมอย่าง Dobhama Asiayone หรือ “สมาคมชาวเราพม่า” ที่ตั้งขึ้นเมื่อปี 2463 / 1920 อันมีบรรดานักศึกษามหาวิทยาลัยย่างกุ้งเป็นผู้นำ เช่น อองซาน และอูนุ พวกนักศึกษาเหล่านี้ล่ะที่จะใช้คำนำหน้าของตนว่า “ทะขิ่น” (Thakin) ซึ่งแปลว่า “เจ้านาย” ทั้งนี้เพื่อแสดงความเท่าเทียมกันกับคนอังกฤษ ที่ถือว่าตนเองเป็น “ทะขิ่น” มานาน และเราก็ทราบดีว่าคนรุ่นนี้อีกประมาณกว่า 20 ปีต่อมา ก็จะเป็นผู้นำมาซึ่งเอกราชของพม่าในปี 2491/1948 หรือภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง


8

กล่าว โดยย่อ การประท้วงอย่างสันติวิธี และการ “คว่ำบาตร” ของพระพม่ามีที่มาและที่ไปตามข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่กล่าวมานั้น พระสงฆ์พม่าในสมัยอาณานิคมอังกฤษ ต้องต่อสู้เพื่อเอกราชและประชาธิปไตย พระสงฆ์ต้องเป็นผู้จุดประกายและส่งต่อการต่อสู้ไปยังนักชาตินิยมที่เป็น ฆราวาส ดังนั้น ในสถานการณ์ปัจจุบัน หากเราถือได้ว่าประเทศพม่าต้องตกอยู่ภายใต้ “ลัทธิอาณานิคมภายใน” คืออยู่ในมือของ “เผด็จการทหารพม่า” ที่ครองอำนาจมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1962 หรือ พ.ศ.2505 แล้ว เราก็ควรจะทำความเข้าใจวิวัฒนาการและสถานการณ์ใหม่ในขณะนี้ด้วยเช่นกัน กล่าวคือ พม่าก็คงเหมือนกับหลายๆ ประเทศในอุษาคเนย์ คือ ประชาชนมีความต้องการที่จะชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีการปกครองและการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย มีสิทธิและเสรีภาพเยี่ยงนานาอารยประเทศ


9

แต่ ก็อย่างที่เราได้เห็นกันในภูมิภาคอุษาคเนย์นี้ว่า “ประชาธิปไตย” หรือหลักการว่าด้วยสิทธิเสรีภาพ หาได้หยั่งรากลึกลงไปได้ไม่ และอุปสรรคที่สำคัญก็คือสิ่งที่เรียกว่า “คณาธิปไตย” หรือ Oligarchy (not Democracy) นั่นเอง ในหลายประเทศของอุษาคเนย์ (รวมทั้งหม่าและไม่เว้นแม้แต่สยามประเทศไทย) เราจะเห็นได้ว่าการเมืองการปกครอง จะตกอยู่ในมือของคนกลุ่มน้อยบางกลุ่มบางคณะเท่านั้น ในบางประเทศก็เป็น “เสนาอำมาตยาธิปไตย” อย่างเปิดเผย ดังเช่นในกรณีของอินโดนีเซียและกัมพูชา หรืออย่างอ้อมๆ เช่น ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ มาเลเซีย


10

ดัง นั้น แม้ว่าลัทธิอาณานิคมต่างชาติจะหมดสิ้นไปแล้วก็ตาม แต่ประเทศในอุษาคเนย์หรืออาเซียน กลับต้องเผชิญกับ “ลัทธิอาณานิคมภายใน” (Domestic colonialism) ของคนในชาติของตนเอง และนี่ก็ทำให้เราเข้าใจได้ว่า ทำไมการเมืองภายในของหลายๆ ประเทศในอุษาคเนย์ ถึงมีความปั่นป่วนไร้เสถียรภาพ มีการลุกฮือของพลังประชาชนอยู่เป็นระยะๆ ดังเช่นในกรณีของ People’s Power ในฟิลิปปินส์ ดังเช่นกรณีของ “14 ตุลา” หรือ “6 ตุลา” หรือ “พฤษภาเลือด” ของไทย หรือการล้มระบอบทหารซูฮาร์โตในอินโดนีเซีย สลับกับการมีปฏิวัติรัฐประหาร และยึดอำนาจการเมืองการปกครองด้วยกำลังอาวุธสงคราม


11

พม่า ได้ถูกปกครองโดย “ลัทธิอาณานิคมภายใน” หรือ “ระบอบเนวิน” (ด้วยการอ้าง “ความสงบเรียบร้อย” และ “ความสามัคคี” กับ “เอกภาพของชาติ”) มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2505 (1962) จนกระทั่งถึง “การลุกฮือ 8888” ของนักศึกษาและประชาชน (“เหตุการณ์วันที่ 8 เดือน 8 ค.ศ. 1988” หรือปี พ.ศ. 2531) รวมแล้วเป็นระยะเวลา 19 ปี การลุกฮือครั้งนั้นทำให้ “ระบอบเนวิน” พังทลาย และทำท่าว่าฝ่ายประชาธิปไตยจะมีชัยชนะ แต่แล้วหลังการเลือกตั้งปี พ.ศ.2533 (1990) ที่พรรค NLD ของวีรสตรีอองซาน ซูจี ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น แต่ “เสนาอำมตยาธิปไตย” หรือ “เผด็จการทหารพม่า” ที่นำโดยนายพลตันฉ่วย ก็ไม่ยอมถ่ายโอนอำนาจการปกครองให้ ซ้ำยังทำการกักกันซูจี รวมทั้งจับกุมคุมขังนักการเมืองและนักศึกษาต่อมาอีกถึงเกือบ 20 ปีเข้าแล้ว


12

และ นี่ก็คงทำให้เราเข้าใจได้ว่า เมื่อขาดผู้นำตามปกติของสังคมในปัจจุบัน คือ นักการเมืองและนักศึกษา พระสงฆ์พม่าก็ต้องกลายเป็นผู้นำอีกครั้งหนึ่ง และก็เป็นที่น่าเชื่อว่า การจุดประกายครั้งใหม่ครั้งนี้ มีความสำคัญยิ่ง นักต่อสู้รุ่นปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาหรืออดีตนักศึกษา ไม่ว่าจะอยู่ในหรือนอกประเทศ อาจจะไม่ประสบชัยชนะในทันทีทันควัน แต่ดูเหมือนว่ากาลเวลาและสถานการณ์ของโลก รวมทั้งเทคโนโลยีสมัยใหม่ (มือถือ อินเตอร์เน็ต อีเมล คลิป) ดูจะวิ่งสวนทางกับกลุ่ม “คณาธิปไตย” “ลัทธิอาณานิคมภายใน” ตลอดจน “เสนาอำมาตยาธิปไตย” ทั้งหลายทั้งปวง


13

และ นี่คือแสงสว่างแม้จะเพียงเล็กน้อย แต่ก็เกิดจาก “ภารกิจทางประวัติศาสตร์” ของพระสงฆ์ที่ดำเนินมาตั้ง 100 ปีได้แล้ว ในระยะยาวของกาลเวลาแห่งอนาคต ก็น่าเชื่อได้ว่า “คณาธิปไตย” รวมทั้งนัก “อประชาธิปไตย” ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นนายพลตันฉ่วย หรือนายพลอะไรก็ตาม ก็น่าจะจบชีวิตและถูกบันทึกไว้ในฐานะของฝ่ายอธรรม ดังเช่นนายพลเนวินได้รับ

ที่ น่าเสียดายก็คือ ในขณะที่ชาวโลกส่วนใหญ่ของนานาอารยประเทศ ลถกขึ้นมาตะโกนก้องประณามการกระทำของ “เสนาอำมาตยาธิปไตย” ของพม่า ทั้งไทย (ที่มีพรมแดนร่วมกับพม่าถึง 2 พันกิโลเมตร มีแรงงงานพม่าเข้ามาอยู่กว่า 1 ล้านคน) กับองค์การอาเซียน กลับยึดติดอยู่กับนโยบาย “ความสัมพันธ์ที่ไม่สร้างสรรค์” (unconstructive engagement) ที่พิสูจน์ว่า “ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง” มาเป็นเวลาตั้ง 10 ปี เป็นไปได้หรือไม่ว่า “คณาธิปไตย” ย่อมจะต้องเห็นอกเห็นใจและ “สมานฉันท์” กับ “คณาธิปไตย” ด้วยกัน

“คณาธิปไตย” นั้นไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้ง หรือจากการแต่งตั้ง ไม่ว่าจะสวมเครื่องแบบ “เสนาอำมาตย์” สวมชุดสากลหรือชุดประจำชาติสีใดก็ตาม ก็คงจะเหมือนๆ กันนั่นแหละ


ที่มา : เว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน, 2 ตุลาคม 2550

รัฐปัตตานี บาดแผลที่ไม่เคยถูกเอ่ยถึง

สัมภาษณ์พิเศษ: มุมมองนักประวัติศาสตร์ "ชาญวิทย์ เกษตรศิริ" รัฐปัตตานี บาดแผลที่ไม่เคยถูกเอ่ยถึง

เหตุการณ์ ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นับตั้งแต่การปล้นปืน เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 ที่ค่ายกองพันทหารพัฒนา อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ตามด้วยเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2547 ที่มีผู้เสียชีวิต 108 ศพ ล่าสุดคือเหตุการณ์สลายการชุมนุม หน้า สภ.อ.ตากใบ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2547 ทำให้มีผู้เสียชีวิตอีก 84 คน !

แม้ ในระดับนโยบายจะพยายามหาทางออกของปัญหา ด้วยการเปลี่ยนหัวแม่ทัพผ่านการปรับคณะรัฐมนตรี รวมถึงการปรับกลยุทธ์ในการแก้ปัญหา ด้วยการผนึกแนวร่วมจากทุกฝ่าย แต่จนถึงทุกวันนี้ปัญหากลับไม่คลี่คลาย

มีการวิเคราะห์ถึงต้นเหตุของ ไฟใต้ ไปต่างๆนานาที่ว่า มาจากการลงขันของกลุ่มธุรกิจผิดกฎหมายที่เสียประโยชน์ อีกด้านมองว่ามาจากกลุ่มก่อการร้ายข้ามประเทศ ที่น่าสนใจคือ มักมีข้อกล่าวหาเรื่องการแบ่งแยกดินแดนอยู่เสมอ และส่วนหนึ่งของวิธีแก้ปัญหาคือการมองไปที่อดีต รากเหง้าของปัญหา

"ชาญวิทย์ เกษตรศิริ" เลขานุการมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ได้วิเคราะห์ถึงปมทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการแบ่งแยกดินแดนเพื่อตั้งรัฐ ปัตตานีไว้อย่างน่าสนใจ ในอีกมุมมืดของประวัติศาสตร์ที่มักไม่มีใครเอ่ยถึง

" การปกครองที่ขาดความเข้าใจวัฒนธรรม ประเพณี เชื้อชาติ ภาษาของปัตตานี รวมทั้ง 3 จังหวัดในภาคใต้ ทำให้ปัญหามีมากขึ้น ทั้งที่ปัญหาเก่าที่เคยเป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์อยู่แล้ว มาเป็นปัญหาแบบข้าราชการไม่ดี ปัญหาการคอร์รัปชั่น การทอดทิ้งดินแดนเหล่านี้จนกลายเป็นปัญหาที่หมักหมม"

ในอดีตรัฐ ปัตตานี เคยเป็นอาณาจักรโบราณที่มีความเจริญอย่างมาก ในช่วงตอนต้นของสมัยอยุธยา โดยปกครองแบบรัฐสุลต่าน และถือเป็นเมืองท่าที่สำคัญโดยเฉพาะชายฝั่งทะเลตะวันออกของแหลมทอง และเป็นคู่แข่งสำคัญของนครศรีธรรมราช ทำให้อยุธยาหรือแม้แต่รัตนโกสินทร์ที่คุมนครศรีธรรมราชเป็นเมืองเอก กลายมาเป็นคู่แข่งของรัฐปัตตานี

ในแง่ของกลุ่มเชื้อสายมลายู มุสลิมที่นับถืออิสลาม ศูนย์กลางที่สำคัญคือเมืองมะละกา ในฝั่งมหาสมุทรอินเดีย และอีกด้านคือปัตตานี ในฝั่งอ่าวไทยและทะเลจีนใต้ ซึ่งในอดีตอยุธยาได้พยายามแผ่อำนาจคุมปัตตานี และมะละกาให้ยอมรับอำนาจผ่านการเป็นเมืองประเทศราช ซึ่งกรณีของปัตตานี อยุธยาทำได้สำเร็จในระดับหนึ่ง คือ ปัตตานียอมรับความมีอำนาจที่เหนือกว่าของอยุธยา แต่บางครั้งก็ก่อการปฏิวัติต่อสู้เป็นบางครั้งในประวัติศาสตร์

ส่วน มะละกาสามารถหลุดออกไปได้ เนื่องจากมะละกาได้รับความสนับสนุนจากจีน ในสมัยราชวงศ์หมิง มะละกาจึงเป็นอาณาจักรที่ปลอดอำนาจจากสยาม จนกระทั่งโปตุเกสมายึดทีหลัง

ขณะที่ปัตตานี ก็ดำรงตนบางครั้งเป็นอิสระ บางครั้งก็ยอมรับว่าตัวเองคือประเทศราชย์ของอยุธยา ดังนั้น เมื่อมาถึงสมัยธนบุรี และรัตนโกสินทร์ ราชวงศ์ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์พระเจ้าตากสิน หรือราชวงศ์จักรีก็อ้างอำนาจอธิปไตยที่เหนือกว่าปัตตานีและรัฐมลายู ไม่ว่าจะเป็นไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู และะปะริส เพื่อให้ยอมรับในเงื่อนไขของการเป็นประเทศราชย์โดยการส่งดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง หรือที่เรียกว่า "บุหงามาศ" มาเป็นเครื่องบรรณาการ

ใน ลักษณะยอมรับแบบรัฐประเทศราชย์ ที่มีผู้ปกครองของตัวเอง มีสุลต่าน มีกฎหมายและศาสนาของตัวเอง โดยเมืองหลวงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้านกิจการภายใน เว้นแต่เรื่องการต่างประเทศ โดยมีการส่งส่วยเป็นครั้งคราว

แต่พอถึง ช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ คือการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่เรียกว่าเทศาภิบาล และมณฑล ประเด็นหลักคือการยกเลิกอิสระในการปกครองท้องถิ่นของตัวเอง ยกเลิกบรรดาเจ้าเมืองประเทศราชย์ทั้งหลาย คือเดิมเจ้าปัตตานีก็มีสุลต่าน แต่เราได้ยกเลิก แล้วรวมอำนาจที่ศูนย์กลาง โดยผู้ปกครองต้องตั้งมาจากมหาดไทย โดยสุลต่านปัตตานีถูกจับไปกักขังที่ จ.พิษณุโลก

"ในแง่ของประวัติศาสตร์จึงเรียกได้ว่ามันมีบาดแผลทาง ประวัติศาสตร์ที่ฝังอยู่ เพราะการปฏิรูปการปกครองแบบรัฐเดียว ทำให้เกิดการกระทบกับผู้นำท้องถิ่น ในช่วงดังกล่าวจึงเกิดเหตุการณ์หนึ่งที่เรียกว่า กบฏ ร.ศ.121 ซึ่งจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน 3 จุด คือ ขบถเงี้ยวเมืองแพร่ ขบถผู้มีบุญในภาคอีสาน และขบถพญาแขก 7 หัวเมือง ในปี 2445

ผลของการ ปฏิรูปและการจัดการปกครองแบบเทศาภิบาล ที่ไปกระทบต่ออำนาจเก่าของผู้นำท้องถิ่นที่เป็นเจ้า และสุลต่าน จนทำให้เกิดการรุกฮือขึ้นมาต่อต้านกรุงเทพฯ และมหาดไทย รัฐปัตตานีที่เคยยิ่งใหญ่กลับถูกลดบทบาทเหลือเพียงจังหวัดเล็กๆ เท่านั้น"

มา ถึงสมัยใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ผ่านข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ทหาร และตำรวจ ผมคิดว่าเป็นการปกครองที่ขาดความเข้าใจวัฒนธรรม ประเพณี เชื้อชาติ ภาษาของปัตตานี รวมทั้ง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้ปัญหามีมากขึ้น ทั้งที่ปัญหาเก่าที่เคยเป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์อยู่แล้ว กลับเพิ่มปัญหาที่ข้าราชการไม่ดี ปัญหาการคอร์รัปชั่น การทอดทิ้งดินแดนเหล่านี้จนกลายเป็นปัญหาหมักหมม

แม้ว่าก่อนหน้านี้ จะมีการพยายามเสนอหนทางแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่สำคัญ คือ ข้อเสนอของฮายีสุหลง ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเสนอให้ใช้นโยบายประนีประนอมและมองให้เห็นถึงศาสนา ความเชื่อ วัฒนธรรมท้องถิ่น โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม แต่ทันทีที่เขาเสนอ เรากลับมองว่าเป็นการแบ่งแยกดินแดน ทั้งที่เราเป็นผู้เอาตราปีศาจแบ่งแยกดินแดนให้กับคนเหล่านั้น แต่รัฐบาลกลุ่มของ "ปรีดี พนมยงค์" ก็ร่วมเสนอในเรื่องดังกล่าว

แต่ พอมีการรัฐประหารในปี พ.ศ.2490 ที่ฝ่ายทหารของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม จอมพลผิน ชุณหะวัณ กลับมายึดอำนาจ ก็เปลี่ยนนโยบายการประนีประนอมในการปกครอง 3 จังหวัดภาคใต้ กลับมาใช้นโยบายสายเหยี่ยว คือเน้นความรุนแรง แทนที่จะใช้สายพิราบ แล้วฮายูสุหลงก็ถูกอุ้ม ทำให้การหาทางออกอย่างสันติไม่บังเกิดขึ้น ปัญหาจึงคาราคาซังมาจนถึงปัจจุบัน
ปัญหาที่มาจากอดีตทาง ประวัติศาสตร์ ปัญหาที่ผู้ปกครองจากกรุงเทพฯ ขาดความเข้าใจ ขาดการปฏิบัติอย่างประนีประนอมกับคนที่มีความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมประเพณี ที่สุดแล้วคนเหล่านี้ที่ไม่ได้รับการปฏิบัติที่เป็นธรรมจากส่วนกลาง จึงคิดว่าขบวนการการแบ่งแยกดินแดนหรือการปลดแอกตัวเองก็มีขึ้นมาใหม่

ทั้ง ที่ข้อหาเรื่องการแบ่งแยกดินแดนมันเริ่มด้วยการที่รัฐบาลในสมัยจอมพล ป. เป็นผู้ยัดเยียดให้กับเขา แต่ตอนหลังมันชักกลายมาเป็นความจริงขึ้นมา คือเราเป็นผู้ไปสร้างปีศาจแบ่งแยกดินแดน แล้วปีศาจตัวนี้ก็กลับมาหลอนแล้ว นั่นคือสถานการณ์ในขณะนี้

กรณีของมัสยิดกรือเซะ การสลายการชุมนุมที่ตากใบ ความร้ายแรงมันไปไกลจนน่ากลัว เพราะยิ่งเป็นการเสริมและตอกย้ำว่าคนเหล่านี้ไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีจาก ส่วนกลาง ก็สามารถใช้เป็นข้ออ้างในการแบ่งแยกดินแดนได้

และถือเป็น เหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลดใจอย่างมาก การจัดการกับการชุมนุมในลักษณะแบบนี้ เป็นการสร้างปัญหาให้กับรัฐบาลเอง คือมันจะบูมมาแรง เพราะปัญหาไม่ใช่ปิดประตูตีแมวแล้วแมวตายไป แต่วันนี้แมวมันมีพวกอยู่ที่อาเซียนอีกจำนวนมาก ในกลุ่มประเทศมุสลิมที่มีอิทธิพล อย่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย และบรูไน จึงถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก บวกกับสถานการณ์โลกเรื่องการก่อการร้าย ทำให้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ใช่ปัญหาโดดๆ เฉพาะในปัญหานี้จึงไม่ใช่ปัญหาภายในประเทศอีกต่อไป

การแก้ไขปัญหาจึงต้องมองด้วยสายตาใหม่ วิธีการแบบสายเหยี่ยว ก็เป็นการพิสูจน์แล้วว่าตาต่อตา ฟันต่อฟัน มันไม่ได้ผล

หาก เรานำอดีตมาเป็นบทเรียน รวมถึงข้อเสนอของฮายีสุหลง ข้อเสนอของ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รองนายรัฐมนตรี ที่เสนอแล้วนำไปเข้าหิ้งมาศึกษาใหม่ และข้อเสนอของนักวิชาการที่เข้าพบนายกรัฐมนตรี ทั้งหมดต้องนำมาพิจารณาอย่างจริงจัง ไม่ใช่นำมาดูแล้วผ่านเลยไป

สำหรับแนวคิดการตั้งเขตปกครองพิเศษใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น "ชาญวิทย์" มองว่า "วันนี้เราต้องหันมาพิจารณาในประเด็นนี้แล้ว ว่าสิ่งที่เรียกว่าประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองคืออะไร ต้องเริ่มต้นด้วยการไม่ตีตราว่าเป็นการแบ่งแยกดินแดน เพราะทันทีที่ตีตรา มันเจรจาไม่ได้แล้ว ต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ว่ารูปแบบการปกครองที่ประชาชนมีส่วนร่วมจะออกมาใน ลักษณะใด แบบเขตปกครองพิเศษของกรุงเทพมหานคร หรือเขตปกครองตนเองของสาธารณรัฐประชาชนจีน

หรือการกลับสู่ในอดีต ก่อนที่จะมีการปฏิรูปแบบมณฑลเทศาภิบาล ในเรื่องรัฐประเทศราชที่ยอมรับในเรื่องศาสนา เชื้อชาติ ภาษา ทั้งหมดควรนำมาศึกษา

ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ยุ่งยาก และซับซ้อนแต่ก็ต้องทำ"


ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์,วันที่ 03 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ปีที่ 25 ฉบับที่ 1268

หม่องทินอ่อง : นักประวัติศาสตร์ชาตินิยมพม่า

โดย ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


เกริ่นนำ


หากจะเอ่ยชื่อของ "หม่องทินอ่อง" ในวงการประวัติศาสตร์และวรรณกรรมไทย ก็คงแทบไม่มีใครเคยรู้จัก (ทั้งๆ ที่ไทยและพม่ามีพรมแดนติดกันกว่า ๒,๐๐๐ กิโลเมตร และคงได้ติดต่อสัมพันธ์กันมาทั้งรักทั้งชังเกือบ ๑ สหัสวรรษ) แต่หากจะเอ่ยนามนี้ในวงการ "อุษาคเนย์ศึกษา" ในโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษและอเมริกัน ก็คงพอมีคนนึกออกว่างานเขียนของหม่องทินอ่อง ก่อให้เกิด "สงคราม" ย่อยๆ ในวงวิชาการ เป็นการปะทะระหว่าง "นักประวัติศาสตร์ชาตินิยม" ของหม่องทินอ่อง กับ "ยักษ์ใหญ่" ในวงการที่ถูกประณามว่าเป็น "นักประวัติศาสตร์จักรวรรดินิยม" อย่าง D.G.E. Hall (๑๘๙๑-๑๙๗๙/๒๔๓๔-๒๕๒๒) และ John F. Cady


Hall เป็นคนอังกฤษ เป็นปรมาจารย์ระดับเดียวกับ George Coedes ของฝรั่งเศส เคยเป็นข้าราชการอาณานิคมอังกฤษ เป็นอาจารย์สอนหนังสือในมหาวิทยาลัยย่างกุ้ง มีลูกศิษย์ลูกหาเป็นผู้นำระดับชาติของพม่ามากมาย (รวมทั้งหม่องทินอ่องเอง) และสุดท้ายเป็นอาจารย์ประวัติศาสตร์อุษาคเนย์ บินไปมาสลับกันระหว่างการสอนที่คอร์แนลและลอนดอน เขียนหนังสือหลายเล่ม เล่มที่แปลเป็นภาษาไทยแล้วคือ ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (A History of South-East Asia, 1955) หนังสือเล่มนี้แพร่หลายมาก ฉบับภาษาอังกฤษพิมพ์แล้วพิมพ์อีก กลายเป็นประหนึ่ง "คัมภีร์" ของวิชาอุษาคเนย์เบื้องต้น และบางคนก็กล่าวไกลไปถึงว่า D.G.E. Hall คือ "บิดาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้" ก็มี


ส่วน John F. Cady นั้นเป็นอเมริกัน เคยเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่ American Baptist College กรุงย่างกุ้ง และเขียนหนังสือเล่มสำคัญ คือ Southeast Asia : Its Historical Development, 1964 และเคยเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่โอไฮโอกับฮาวาย ซึ่งก็มีสำนักของอุษาคเนย์ศึกษาเช่นกัน แม้จะไม่โด่งดังเท่าคอร์แนลหรือลอนดอน และหนังสือของท่านก็ไม่แพร่หลายเท่ากับเล่มของ Hall


ชีวิตของหม่องทินอ่อง


แต่สำหรับคนพม่า โดยเฉพาะผู้มีการศึกษา นามของหม่องทินอ่องเป็นที่รู้จักกันดียิ่ง ท่านเป็นทั้งครู นักวิชาการ นักวรรณคดี นักเล่านิทาน นักเดินทาง นักประวัติศาสตร์ นักการศึกษา นักการทูต และที่สำคัญยิ่งคือเป็น "นักชาตินิยม" หม่องทินอ่องเกิดเมื่อ ๑๘ พฤษภาคม ๑๙๐๘ (ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๕๑ ปลายสมัยรัชกาลที่ ๕ หรือ ๘ ปีหลังสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี กับ ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งต่างก็เกิดในปี ค.ศ. ๑๙๐๐/๒๔๔๓) ท่านมีพี่น้องเป็นชาย ๓ เป็นหญิงอีก ๓ ตระกูลของท่านมีเชื้อสายผู้ดีจากราชสำนัก และก็มีการศึกษาและสถานะตำแหน่งสูง พี่ชายคนหนึ่งเป็น รมต.การต่างประเทศ อีก ๒ คนเป็นผู้พิพากษา ส่วนพี่น้องผู้หญิง คนหนึ่งเป็นนักเขียน อีก ๒ คนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย


ทินอ่อง แปลว่า "ความสำเร็จอันรุ่งโรจน์" ส่วนคำว่า "หม่อง" นั้น คนพม่าใช้เป็นคำนำหน้านาม (คนพม่าไม่นิยมมีนามสกุลตามแบบฝรั่งอย่างไทย) ถ้าเป็นคนสูงอายุหน่อยก็ใช้คำว่า "อู" ซึ่งแปลว่า "ลุง" ถ้ายังหนุ่มก็ใช้ว่า "หม่อง" ทินอ่องเป็นคนที่ young at heart เลยเก็บคำว่า "หม่อง" นี้ไว้กับตัวจนตาย ทินอ่องจบมัธยมจาก Dulwich กรุงลอนดอน ท่านไปเรียนอยู่โรงเรียนผู้ดีอังกฤษ (อันดับรอง) นี้ระหว่างปี ค.ศ. ๑๙๒๓-๒๔/๒๔๖๖-๖๗ แล้วก็กลับมาศึกษาระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยย่างกุ้งเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๒๔-๒๘/๒๔๖๗-๗๑ เรียนด้านวรรณคดี เศรษฐศาสตร์ และประวัติศาสตร์ ได้เหรียญทอง และเมื่อจบก็มีอายุเพียง ๑๙ ปี หลังจากนั้นก็กลับไปอังกฤษอีก เรียนจนได้ปริญญาอีกหลายตัวทั้งจาก Queen"s College, Cambridge, L.L.B; จาก Oxford B.C.L; จาก London School of Economics, L.L.B; จาก Trinity College, Dublin, Ph.D. (English Literature 1932-33); และ English Bar, Lincoln"s Inn, London


กล่าวกันว่าท่านเป็นคนเรียนเก่ง มีความสามารถยอดเยี่ยมเป็น "นายภาษา" ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาพม่า รักแรกของท่านในการศึกษาเล่าเรียนคือ "ภาษาและวรรณคดีอังกฤษ" ก่อนที่จะเปลี่ยนมาจับวรรณกรรมและประวัติศาสตร์พม่า


กล่าวกันอีกว่าในสมัยวัยเด็กท่าน "เกเร" มาก ในฐานะบุตรคนที่ ๔ ถูกขนาบด้วยพี่ ๓ น้อง ๓ ท่านจึง "อาละวาดน่าดู" ถึงขั้นหนีออกจากบ้านไปสมัครเป็นนักแสดงละครเร่ตามเมืองต่างๆ ในพม่า และนี่ก็เป็นที่มาของการที่ผลงานของท่านออกมาในรูปของ "นิยายนิทานพื้นบ้านพื้นเมืองพม่า" และก็แต่งหนังสือเล่มสำคัญๆ ด้านนี้ เช่น Burmese Drama (Oxford พิมพ์ปี ค.ศ. ๑๙๓๗), Burmese Folk Tales, Burmese Law Tales, Folk Elements in Burmese Buddhism, Burmese Monks" Tales เป็นต้น


ในสมัยที่หม่องทินอ่องเป็น "นักเรียนนอก" นั้น ก็ได้ไปเรียนที่กรุงดับลิน ประเทศไอร์แลนด์อีกด้วย คบหาสมาคมกับคนไอริช ชอบอกชอบใจกันมาก คนอังกฤษที่ปกครองเป็นเจ้าอาณานิคมเหนือทั้งไอริชและพม่านั้น มักจะมองว่ามนุษย์ ๒ ชนชาตินี้มีอะไรคล้ายๆ กันในแง่ของอุปนิสัยและสันดาน คือ ชอบสนุกสนาน หัวดื้อหัวรั้น "ไม่ว่านอนและไม่สอนง่าย" มีเรื่องเล่ากันว่าที่ทรินิตี้คอลเลจ กรุงดับลินนั้น หนุ่มทินอ่องอยู่หอชาย และถูกท้าทายโดยสาวงามไอริชให้กระโดดหน้าต่างลงไปหาเจ้าหล่อน หนุ่มทินอ่องเกือบตกหน้าต่างตายในครั้งนั้น และก็เกือบถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย


เมื่ออายุได้ ๒๕ ปี และหลังจากการจากบ้านเกิดเมืองนอนไป ๕ ปี หนุ่มทินอ่องก็หอบปริญญาหลายใบกลับพม่า และเริ่มต้นชีวิตการทำงานด้วยการเป็นอาจารย์สอนภาษาและวรรณคดีอังกฤษที่มหาวิทยาลัยย่างกุ้ง ท่านเป็นพม่าคนแรกที่ได้รับตำแหน่ง "ศาสตราจารย์" ซึ่งในสมัยนั้นมีแต่คนอังกฤษหรือไม่ก็คนอินเดียเท่านั้นที่จะได้รับตำแหน่งอันสูงส่งนี้ ในสมัยอาณานิคมอังกฤษเอาพม่าไปปกครองไว้ใต้ร่มธงเดียวกันกับอินเดีย และคนพม่าก็ต้องแข่งขันกับคนอินเดียอย่างหนักในบ้านเมืองของตนเอง หนุ่มทินอ่องไต่ขั้นบันไดไปจนได้เป็นเลขานุการสภาการศึกษาแห่งชาติ เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๓๖-๔๖/๒๔๗๙-๘๙ และท้ายที่สุดในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการที่พม่าได้เอกราชหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ท่านก็ได้ตำแหน่งสูงถึง "อธิการบดี" มหาวิทยาลัยย่างกุ้งในปี ค.ศ. ๑๙๔๖/๒๔๘๙ เมื่ออายุได้ ๓๘ และดำรงตำแหน่งนี้อยู่นานถึงปี ค.ศ. ๑๙๕๘/๒๕๐๑ รวมแล้วเป็นเวลา ๑๒ ปี


หลังจากนั้นท่านได้รับ "รางวัล" ถูกตั้งให้ไปเป็นทูตพม่าประจำศรีลังกา ระหว่างปี ค.ศ. ๑๙๕๙-๖๓/๒๕๐๒-๐๖ และยังเป็นตัวแทนของพม่าในสหประชาชาติ ได้รับเชิญเป็นอาจารย์พิเศษบรรยายในมหาวิทยาลัยระดับนำในโลกฝรั่ง หม่องทินอ่องสิ้นชีวิตไปเมื่อ ๑๐ พฤษภาคม ๑๙๗๘/๒๕๒๑ ในขณะที่เตรียมตัวเดินทางไปเป็นอาจารย์พิเศษสอนประวัติศาสตร์พม่าที่เยอรมนี รวมสิริอายุได้ ๗๐ ปี ท่านมีภริยาคู่ทุกข์คู่ยากเป็นนักกฎหมาย และเพื่อเป็นเกียรติแก่ท่าน ในการจัดการเฉลิมฉลองการก่อตั้งเมื่อปี ๑๙๙๕/๒๕๓๘ มหาวิทยาลัยย่างกุ้งได้สร้างอนุสาวรีย์ของท่านขึ้นไว้ใน "หอเกียรติยศ"


อันว่ามหาวิทยาลัยย่างกุ้งนั้นถือได้ว่าเป็นมหาวิทยาลัยระดับนำในยุคสมัยอาณานิคม มีสถานะทางวิชาการใกล้เคียงกับบรรดาสถาบันการศึกษาที่อังกฤษตั้งขึ้นในอุษาคเนย์ เช่น ที่สิงคโปร์ ปีนัง มลายู (ที่จะกลายมาเป็น University of Malaya ของมาเลเซีย และ National University of Singapore ของสิงคโปร์ ซึ่งติดอันดับต้นๆ ของมหาวิทยาลัยชั้นนำของเอเชียทุกครั้งเมื่อมีการจัดอันดับ)


มหาวิทยาลัยย่างกุ้งเดิมเป็นเพียงวิทยาลัย Rangoon College ตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. ๑๘๗๘/๒๔๒๑ (ตรงกับต้นสมัยรัชกาลที่ ๕ หรือก่อนตั้งโรงเรียนสวนกุหลาบฯ ๔ ปี) มีสถานะเป็นเพียงสาขาของมหาวิทยาลัยกัลกัตตา ซึ่งยุคนั้นเป็นศูนย์กลางของอำนาจอังกฤษก่อนที่จะย้ายเมืองหลวงไปอยู่นิวเดลี วิทยาลัยย่างกุ้งใช้หลักสูตรอังกฤษและสอนเป็นภาษาอังกฤษ โดยอาจารย์ชาวอังกฤษและอินเดีย (ซึ่ง D.G.E. Hall ก็เคยดำรงตำแหน่งประจำอาจารย์ประวัติศาสตร์ที่นี่ระหว่างปี ค.ศ. ๑๙๒๑-๓๔/๒๔๖๔-๗๗ บุกเบิกอยู่ถึง ๑๓ ปี) ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙๒๐/๒๔๖๓ ด้วยแรงดันของนักลัทธิประชาชาตินิยมพม่า ก็ได้รับการสถาปนาเป็น Rangoon University โดยรวมเอาสถาบันการศึกษาของพวกสอนศาสนา คือ Judson College เข้ามาด้วย เป็นอิสระจากมหาวิทยาลัยกัลกัตตา ดังนั้นมหาวิทยาลัยย่างกุ้งก็เกิดหลังมหาวิทยาลัยแรกของสยาม คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ถือกำเนิดเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๑๗/๒๔๕๙/๖๐ เพียง ๓ ปี


ทันทีที่เกิด (หรือพูดให้ถูกต้องก็คือยกสถานะขึ้นมาจากวิทยาลัยเดิม) นั้น มหาวิทยาลัยย่างกุ้งก็คุกรุ่นไปด้วยกิจกรรมทางการเมืองของนักศึกษา (ทำนองเดียวกันกับมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง) ที่ประท้วงหยุดเรียน เรียกร้องสิทธิและความเท่าเทียมเสมอภาคให้กับคนพม่า นักศึกษาเต็มไปด้วยความคิด "ลัทธิชาตินิยม" สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับผู้บริหารและผู้ปกครองทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษหรือผู้นำทหารพม่าผู้สืบทอดและกุมอำนาจต่อมา นักศึกษามหาวิทยาลัยย่างกุ้งมีการประท้วงครั้งสำคัญตั้งแต่ยุคสมัยของการก่อตั้งในปี ค.ศ. ๑๙๒๐/๒๔๖๓ และ ๑๙๓๖/๒๔๗๙ นักศึกษารณรงค์เรียกตนเองว่า "ตะขิ่น" (แปลว่า "นาย") เพื่อสร้างความเท่าเทียมกับฝรั่ง เพลงปลุกใจของนักศึกษายุคนี้กลายเป็นต้นกำเนิดของ "เพลงชาติพม่า" ที่ยังใช้ร้องและบรรเลงอยู่ในปัจจุบัน


ดังนั้นในสมัยหลังเอกราช โดยเฉพาะเมื่อลัทธิทหารนิยม (militarism ของเนวินและคณะทหารรุ่นต่อๆ มา) เข้าครอบงำพม่า นักศึกษามหาวิทยาลัยนี้จึงกลายเป็นหัวหอกประท้วงเผด็จการทหารพม่าเป็นประจำ ไม่ว่าจะในยุค ๑๙๖๒/๒๕๐๕ (ที่ตึกองค์การนักศึกษาถูกวางระเบิดมหาประลัยจนย่อยยับและมีนักศึกษาเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก) ไม่ว่าจะเป็นสมัยของ "การลุกฮือ ๘๘๘๘" (คือวันที่ ๘ เดือน ๘ คือสิงหาคม ปี ๑๙๘๘) เพื่อสนับสนุนขบวนการประชาธิปไตยและวีรสตรี "อองซาน ซูจี" และก็ไม่น่าสงสัยอะไรที่มหาวิทยาลัยย่างกุ้งถูกปิดมากกว่าเปิดเรียน และต้องถูก "ย้าย" ออกไปนอกเมืองหลวงนับแต่นั้นมา (ประสบชะตากรรมเดียวกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของอุษาคเนย์ เช่น University of the Philippines, University of Indonesia, และ/หรือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ต่างก็ถูกขับออกจากเมืองไปเป็นมหาวิทยาลัย "ชายขอบ" และนักศึกษาก็หมดบทบาท "นำ" ด้วยข้ออ้างและวาระซ่อนเร้นว่าด้วยการ "ขยาย" ของสภามหาวิทยาลัยและผู้บริหาร)


ตามสถิตินั้นมหาวิทยาลัยย่างกุ้งปิดมากกว่าเปิด ดังนี้ ปิดเป็นเวลา ๓ ปีหลัง "ลุกฮือ ๘๘๘๘" พอเปิดได้หน่อยหนึ่งไม่กี่เดือนในปี ค.ศ. ๑๙๙๑/๒๕๓๔ ปีนั้นอองซาน ซูจี ได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ นักศึกษาเดินขบวนเพื่อสนับสนุนเธอ มหาวิทยาลัยก็เลยถูกทหารสั่งปิดอีก


นับแต่นั้นมาเป็นเวลากว่า ๑๐ ปี มหาวิทยาลัยย่างกุ้งก็ถูกปิดและถูกบีบให้ "ย้าย" เรื่อยมา บางปีให้มีเรียนและสอบเพียง ๔-๕ เดือน บรรยากาศเงียบเหงา เข้า-ออกมหาวิทยาลัยยุ่งยาก ตึกรามทรุดโทรม จนไม่น่าเชื่อว่านี่คือมหาวิทยาลัยชั้นนำสุดของพม่าและอุษาคเนย์ ที่ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณที่งดงามของทะเลสาบอินยา มีต้นไม้ครึ้มไปหมด และล้อมรอบด้วยถนนสายสำคัญทางประวัติศาสตร์และการเมือง คือถนนยูนิเวอร์ซิตี้ (University Avenue ทางไปบ้านอองซาน ซูจี ที่ถูกกักกันอยู่นานปี) กับถนนเมืองแปร ไม่น่าเชื่อว่านี่คือ "แหล่งศึกษา" ที่ผลิตผู้นำของชาติแบบอองซาน หรืออูนุ ฯลฯ กล่าวได้ว่าพม่าต้องสูญเสียคนหนุ่มคนสาวที่ขาดการศึกษาเล่าเรียนไป "หนึ่งชั่วอายุคน" โดยแท้

ผลงานวิชาการของหม่องทินอ่อง

มีคำพังเพยอยู่วรรคหนึ่งว่า "ชีวิตปราชญ์นั้นไซร้ รู้ได้ดีสุดจากสมุดหนังสือของปราชญ์นั้นแล" (a scholar"s life is best known by his own books) หม่องทินอ่องเขียนหนังสือเป็นภาษาอังกฤษตีพิมพ์แพร่หลายกว่า ๑๐ เล่ม ส่วนใหญ่เป็นงานทางด้านวรรณกรรมพื้นบ้านดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น อีกส่วนหนึ่งเป็นด้านประวัติศาสตร์ของพม่ากับอังกฤษ ครั้งหนึ่งท่านดำรงตำแหน่งนายก "สมาคมวิจัยพม่า" (Burma Research Society ก่อตั้งปี ค.ศ. ๑๙๑๐/๒๔๕๓) และเขียนบทความเด่นๆ ตีพิมพ์ในวารสารของสมาคมอันทรงเกียรติ คือ Journal of the Burma Research Society (JBRS) วารสารนี้เป็นแหล่งรวมของนักปราชญ์ราชบัณฑิตทั้งพม่าและชาวต่างชาติ ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับ "โบราณคดี" ทั้งหลายทั้งปวงของพม่า คล้ายๆ กันกับวารสารของสมาคมในรูปแบบเดียวกันของ Royal Asiatic Society ของอังกฤษ หรือ Siam Society ของไทย (สยามสมาคมก่อตั้งปี ค.ศ. ๑๙๐๔/๒๔๔๗) ฯลฯ


ในแง่ของผลงานทางประวัติศาสตร์ หม่องทินอ่องได้ขุดค้นเอกสารเก่าทั้ง "พงศาวดาร" หรือ "ยาซาวิน" ออกมาใช้ พร้อมๆ กับการใช้เอกสารจากเจ้าอาณานิคมอังกฤษ ดังนั้นงานประวัติศาสตร์ของท่านจึงมีมุมมองจากด้านของพม่า มีงานเขียนเด่นๆ เช่น Burmese History Before 1287 ที่เท้าความกลับไปไกลยังสมัยพุกาม หรือ A Defence of the Chronicles ที่ให้ความสำคัญต่อเอกสารประเภทพงศาวดารและตำนานเก่าของพม่า (ที่มักจะถูกมองข้ามโดยนักปราชญ์ฝรั่งและ/หรือบรรดานักประวัติศาสตร์กระแสหลัก) และที่สำคัญอย่างยิ่ง คืองานแปลเอกสาร First Burmese Embassy to the Court of St. James ซึ่งเป็นจดหมายเหตุรายวันระหว่างปี ค.ศ. ๑๘๗๒-๗๔/๒๔๑๕-๑๗ ของราชทูต Kinwun Mingyi ที่พระเจ้ามินดงส่งไปเฝ้าพระนางวิกตอเรียในช่วงนั้น


พระเจ้ามินดง กษัตริย์พม่ามีอะไรที่คล้ายกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ของสยาม คือความพยายามที่จะปฏิรูปประเทศให้รอดพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้น และพยายามที่จะติดต่อกับราชสำนักพระนางวิกตอเรียโดยตรง แทนที่จะติดต่อผ่านตัวแทนของอังกฤษในอินเดีย ดังนั้นคณะทูตชุดของ "กินหวุ่นมินจี" ก็ถูกส่งไปเจริญสัมพันธไมตรีที่กรุงลอนดอนเมื่อปี ค.ศ. ๑๘๗๒-๗๔/๒๔๑๕-๑๗ เป็นเวลา ๑๐ กว่าปี หลังจากชุดราชทูตของไทย ที่นำโดยพระยามหามนตรีสุริยวงศ์ (ชุ่ม บุนนาค) ไปถึงในปี ๑๘๕๗/๒๔๐๐ (ชุดนี้เป็นชุดเดียวกันกับที่มี "หม่อมราโชทัย" เจ้าของ "นิราศลอนดอน" ร่วมไปด้วยฐานะล่ามผู้รู้ภาษาอังกฤษ และก็เป็นชุดที่สืบเนื่องจากการลงนามสนธิสัญญาเบาริ่งปี ๑๘๕๕/๒๓๙๘)


น่าสนใจและน่าแทรกไว้ตรงนี้ คือหม่องทินอ่องเขียนบรรยายถึง "ความไม่สำเร็จ" ของทูตชุดกินหวุ่นมินจีไว้ว่า คณะทูตชุดนี้ของพม่าได้รับการต้อนรับจากเสนาบดีกระทรวงอินเดีย แทนที่จะเป็นเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งก็ทำให้ฐานะของพม่าไม่เท่าเทียมกับอังกฤษ (และก็ไม่เท่าเทียมกับสยามของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอีกด้วย) กล่าวได้ว่าแม้พม่าจะยังไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษทั้งหมดในสมัยของพระเจ้ามินดงก็ตาม แต่ราชสำนักและรัฐบาลพม่าก็ปฏิบัติกับคณะทูตประหนึ่งเป็นอาณานิคมไปแล้ว หม่องทินอ่องบรรยายอย่างขมขื่นว่า พระนางวิกตอเรียบีบบังคับให้คณะทูตพม่าคลานคุกเข่าเข้าเฝ้า ซึ่งฝ่ายพม่าตีความว่าการต้องเข้าเฝ้าในรูปแบบนี้ถือเป็น "ความไม่เท่าเทียม" เพราะพม่าต้องการยืนเข้าเฝ้าแบบเดียวกับที่ทูตอังกฤษทำ (เรื่องนี้ต่างกับราชทูตไทยอย่างชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ ที่เต็มอกเต็มใจที่จะคลานเข้าเฝ้าพระนางวิกตอเรีย (หรือพระเจ้านโปเลียนที่ ๓) โดยสิ้นเชิง และสยามยุคนั้นก็คงจะตีความว่าเป็นการ "รักษาขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม" แทน "ความไม่เท่าเทียม")


ในการแปลงาน "จดหมายเหตุรายวันของกินหวุ่นมินจี" (First Burmese Embassy to the Court of St. James) นั้น หม่องทินอ่องได้ใช้เอกสารประกอบจากทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส พร้อมทั้งขุดค้นเรื่องราวเบื้องหลังของตัวบุคคลสำคัญของหลายๆ ฝ่ายออกมาอย่างชัดเจน ทำให้เห็นสภาพของพม่าก่อนการเสียกรุงมัณฑะเลย์ (๑๘๘๕/๒๔๒๘) ในเวลาต่อมาว่าเป็นอย่างไร บรรยากาศเต็มไปด้วยความผิดหวัง เพราะความพยายามในการปฏิรูปและปลูกไมตรีกับอังกฤษของพระเจ้ามินดงไม่ประสบผลสำเร็จ นโยบายหลักของอังกฤษในยุคนั้น คือการทำให้อาณาบริเวณอ่าวเบงกอลและทะเลอันดามัน จากเมืองกัลกัตตาข้ามมายังพม่าตอนล่างแถบทวาย มะริด ตะนาวศรี เลาะเลียบชายฝั่งทะเลตะวันตกของไทย (กระบี่ พังงา ภูเก็ต) ไปจนถึงเกาะปีนังและสิงคโปร์ กลายเป็นทะเลสาบน้อยๆ ของจักรวรรดิอังกฤษในอนุทวีปและอุษาคเนย์ ดังนั้นพม่าก็เปรียบเสมือน "ลูกแกะ" ที่รอวัน "หมาป่า" ขย้ำนั่นเอง นี่เป็นภาพจากมุมมองของนักประวัติศาสตร์พม่า แทนภาพจากด้านของฝรั่ง (ซึ่งไทยก็รับเข้ามาอย่างเต็มที่) ที่ว่าสมควรแล้วที่ "พม่าเสียเมือง" เพราะกษัตริย์และราชินีพม่า "เลว หยิ่งยโสโอหัง และโหดร้าย ทารุณ ป่าเถื่อน"


ในบรรดาผลงานทางประวัติศาสตร์ของหม่องทินอ่อง คงไม่มีเล่มใดที่จะ "ฮือฮา" เท่ากับหนังสือ ๒ เล่ม คือ The Stricken Peacock : Anglo-Burmese Relations 1752-1948 (พิมพ์ครั้งแรกปี ค.ศ. ๑๙๖๕/๒๕๐๘, The Hague : Martinus Nijhoff) และ A History of Burma (พิมพ์ครั้งแรกปี ค.ศ. ๑๙๖๗/๒๕๑๐, Columbia University Press) หนังสือทั้ง ๒ เล่มนี้ทำให้หม่องทินอ่องได้รับการวิพากษ์ว่าเป็น "นักประวัติศาสตร์ชาตินิยม" และเป็น "ผู้แก้ต่าง" ให้กับกษัตริย์และราชวงศ์คองบอง ซึ่งหม่องทินอ่องเองก็โต้กลับทั้ง Hall และ Cady ดังกล่าวแล้วข้างต้น คำโต้เผ็ดร้อนนี้ปรากฏในปาฐกถาพิเศษเมื่อ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๑๙๗๓/๒๕๑๖ เรื่อง G.E. Harvey : Imperialist or Historian? ดูได้จากเว็บไซต์ (http://www.myanmar.gov.mm/Perspective/persp2002/5-2002/har.htm) และหากสนใจในประเด็นของ "นักประวัติศาสตร์จักรวรรดินิยม" ก็หาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก Manuel Sarkisyanz, Peacocks, pagodas and Professor Hall; a critique of the persisting use of historiography as an apology for British Empire-Building in Burma, Ohio University, Center for International Studies, 1972


ในขณะที่ Hall วิพากษ์ว่าหม่องทินอ่องเก่งวรรณคดี แต่ไม่รู้เรื่องงานประวัติศาสตร์ และน่าเสียดายที่ไม่ใช้จารึกจำนวนมากของสมัยพุกาม (ที่ปราชญ์คนสำคัญว่าด้วยพม่าศึกษา คือ G.H. Luce อ่านและตีพิมพ์ไว้มากมาย) หม่องทินอ่องก็โต้กลับ "แสบๆ" ว่า "เป็นความจริงที่ข้าฯ ไม่ได้เป็นนักประวัติศาสตร์อาชีพ แต่สมาชิกตระกูลข้าฯ ก็สร้างประวัติศาสตร์พม่ามาหลายศตวรรษ ข้าฯ รับว่าทำปริญญาเอกด้านวรรณคดีอังกฤษ และเขียนหนังสือว่าด้วยนิทานพื้นบ้าน ๔ เล่ม แต่ก็ได้ทำปริญญาด้านรัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย ซึ่งเป็นสาขาวิชาเทียบเคียงได้กับประวัติศาสตร์ ลอร์ด (เมย์นาร์ด) เคนส์เองก็เรียน "คลาสสิก" ก่อนที่จะทำงานเขียนด้านเศรษฐศาสตร์ และลูซก็เรียนวรรณคดีอังกฤษก่อนย้ายมาประวัติศาสตร์..."


การโต้เป็นไปอย่างเผ็ดมัน และตบท้ายด้วยการ "แย็บ" ว่าทั้ง Hall และ Cady นั้นอยู่พม่านานแสนนานปีแต่ไม่รู้ภาษาพม่าเลย นี่เป็นข้อบังคับหนึ่งของ "อาณาบริเวณศึกษา" หรือ area studies ในยุค 1960s เป็นต้นมา ว่าต้องรู้ภาษาในภูมิภาค ไม่ใช่งมอยู่กับภาษามหาอำนาจจักรวรรดินิยมอย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ดัตช์ ฯลฯ หากไม่รู้ภาษาของภูมิภาคก็จะไม่สามารถรู้เรื่องราวอย่างเป็นวิชาการได้ หม่องทินอ่องจบปาฐกถาครั้งสำคัญนั้นด้วยประโยคภาษาอังกฤษคมๆ ว่า "ความจริงของข้าฯ ไม่ใช่ความจริงของเจ้า ความจริงหรือความเท็จ ให้มันเป็นไปตามประสามัน" (What is truth to me is not to thee และ but truth or untruth, let it be)


หนังสือประวัติศาสตร์พม่า หรือ A History of Burma นี้ สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยโคลัมเบียเป็นผู้ตีพิมพ์ ประกอบด้วย ๑๒ บทอย่างกะทัดรัด พร้อมด้วยปัจฉิมลิขิต อันเป็นบทสัมภาษณ์ระหว่างผู้เขียนกับบรรณาธิการ และมีภาคผนวกที่เป็นประโยชน์มากๆ เกี่ยวกับลำดับศักราชเหตุการณ์และลำดับกษัตริย์ และหนังสือเล่มนี้ก็ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยโดยศาสตราจารย์เพ็ชรี สุมิตร โดยมีโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สมัยที่ยังไม่ได้จัดตั้งเป็นมูลนิธิ มี ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นประธาน ดำเนินการตีพิมพ์ไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๑๙ (ช่วงเวลาเดียวกับ "บ้านเมืองของเราลงแดง" รัฐประกอบอาชญากรรมสังหารนิสิตนักศึกษา ประชาชน เมื่อ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ และตัวประธานเองก็ต้องกลายเป็น "แต่คนดี เมืองไทยไม่ต้องการ")


ผลงานประวัติศาสตร์พม่า ชิ้นนี้เป็น "ประวัติศาสตร์ชาตินิยม" อย่างไม่ต้องสงสัย แต่จะเป็น "ปีก" ไหนของ "ชาติ" นั้นก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง และที่สำคัญคือ หนังสือเล่มนี้เป็นประวัติศาสตร์ที่สะท้อนมุมมองของนักประวัติศาสตร์พม่า ที่เขียนขึ้นมาในยุคของ "การสร้างชาติ" เขียนขึ้นหลังจากจักรวรรดิอังกฤษได้ล่มสลายไปเพราะสงครามโลกครั้งที่ ๒ พร้อมๆ กับการทวีความรุนแรงของ "ลัทธิชาตินิยม" ของพม่า (ในที่นี้ขอแปลคำ nation ว่า "ชาติ" แทน "ประชาชาติ" แต่จะแยกแยะให้เห็น "โทนสี" ของความแตกต่างกับสิ่งที่เมื่อเป็น ism แล้ว ว่าจะเป็น "ราชาชาตินิยม" หรือ "อำมาตยาชาตินิยม" และ/หรือ "ประชาชาตินิยม" อย่างไรในตอนต่อไป)

ดังนั้นเนื้อหาของประวัติศาสตร์ยุคโบราณของหม่องทินอ่อง จึงมีศูนย์กลางอยู่ที่ "๓ จักรวรรดิ" หม่องทินอ่องมองอดีตของพม่าอย่างใหญ่โตมโหฬารแบบ "จักรวรรดิ" แทนที่จะเป็นเพียง "อาณาจักร" คือมี ๑. จักรวรรดิพุกาม ๒. จักรวรรดิหงสาวดี (พะโค) และ ๓. จักรวรรดิอังวะ/อมรปุระ ซึ่งถือได้ว่าพม่าพิชิตสภาวะอันกระจัดกระจายของชนต่างเผ่าต่างหมู่ มารวมกันอยู่เป็น "เอกภาพ" ภายใต้กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เพียงไม่กี่พระองค์ เช่น อนิรุธ (อโนรธา)/ครรชิต (จันสิทธา), ตะเบ็งชเวตี้/บุเรงนอง, อลองพญา/มังระ ก่อนที่จะตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ จักรวรรดิพม่าทั้ง ๓ ดูจะขึ้นและลงพร้อมๆ กับเรื่องราวของบรรดาวีรกษัตริย์ พร้อมๆ กับการทำสงครามเพื่อสถาปนาความยิ่งใหญ่ ส่วนองค์ประกอบอื่นๆ ไม่ว่าเศรษฐกิจหรือสังคมเกือบไม่ได้รับการกล่าวถึงเลย (ยกเว้นด้านวรรณกรรมและศิลปกรรมที่หม่องทินอ่องชำนาญและให้ความสนใจเป็นพิเศษ)


กล่าวโดยย่อ ทั้ง "ปรัชญาประวัติศาสตร์" และ "ประวัติศาสตร์นิพนธ์" ของหม่องทินอ่อง ก็เป็นเรื่องของ "วัฏจักร" (cycle) ของ rise และ fall ของ "จักรวรรดิ" และของ "วีรกษัตริย์" (แต่ไม่มีวีรสตรี) หนังสือเล่มนี้จบลงตรงบทที่พม่า fall ตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษในปี ค.ศ. ๑๘๘๖/๒๔๒๙ และแล้วพม่าก็ rise อีกครั้งเมื่อได้เอกราชในปี ค.ศ. ๑๙๔๘/๒๔๙๑


ดังที่กล่าวมาแล้ว ตรงนี้ท้ายเล่มมี "ปัจฉิมลิขิต" ซึ่งเป็นการถามตอบกันระหว่างหม่องทินอ่องกับบรรณาธิการ ที่ว่าทำไมถึงไม่เขียนเลยมาจนถึงประมาณทศวรรษ ๑๙๖๐ ในช่วง "ยุคทอง" ของ "เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา" อันเป็นช่วงที่หนังสือเล่มนี้ได้รับการเขียนและตีพิมพ์ขึ้นมา คำตอบก็คือ "การได้มาซึ่งเอกราช" เป็น "หัวเลี้ยวหัวต่อ" ที่หม่องทินอ่องเชื่อว่านี่ก็คือ "rise" อีกรอบหนึ่ง และในความเชื่อแบบ (ประวัติศาสตร์เก่า) ของท่าน ก็คือ "ตะกอนยังไม่นอนก้น" เหตุการณ์ต่างๆ ยังสับสนไม่ลงตัว (ฝุ่นยังฟุ้งอยู่) ดังนั้นก็ต้องรอเวลาอีกระยะหนึ่งถึงจะเขียนขึ้นมาได้


ทีนี้หันมาดูความเป็น "นักชาตินิยม" ของหม่องทินอ่อง ซึ่งทำให้ท่านต้อง "แก้ต่าง" ให้กับบรรดาวีรกษัตริย์และ "ต้นตระกูลพม่า" และดังนั้นในสงครามพิชิตอยุธยา (ที่เราถือว่า "เสียกรุงครั้งที่ ๒" เมื่อปี ค.ศ. ๑๗๖๗/๒๓๑๐) นั้น หม่องทินอ่องก็กล่าวแก้ (ตัว) การ "ได้กรุง" ของกองทัพพม่าไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้


"ในเดือนเมษายน ค.ศ. ๑๗๖๗ พม่าขุดอุโมงค์ลอดใต้กำแพง และเอาฟางกับเศษไม้ใส่พร้อมทั้งจุดไฟเผา เมื่อกำแพงส่วนหนึ่งพังลง ทหารพม่าก็เข้าเมืองได้ ตรงกันข้ามกับหลักฐานที่ฝ่ายไทยกล่าวไว้ คือ มิได้มีการฆ่าฟันผู้คน เพียงแต่จับทั้งกษัตริย์และข้าราชสำนักทั้งหมดไปเป็นเชลย เก็บทรัพย์สินมีค่าไปและเผาเมืองเสีย ทำลายกำแพงลงและถมคู พาเชลยกลับไปเมืองพม่า เช่นเดียวกับครั้งที่พระเจ้าบุเรงนองตีได้อยุธยา พม่านำตัวละคร นักดนตรี ศิลปิน ช่างต่างๆ หมอ โหราจารย์ ช่างทอผ้า ช่างเงิน ช่างทอง ผู้มีความรู้ในแนวต่างๆ กวีและอื่นๆ กลับไปด้วย ยังผลให้เกิดการฟื้นฟูวรรณคดีและศิลปะพม่า"


และก็เช่นเดียวกันกับในการบรรยายถึงวาระสุดท้ายของกษัตริย์และมเหสีเมื่อ "พม่าเสียเมือง" ให้กับอังกฤษเมื่อปี ค.ศ. ๑๘๘๕/๒๔๒๘ นั้น ภาพของความ "ไร้" อารยะ ความป่าเถื่อน ความ "งี่เง่า" ของสถาบันกษัตริย์และราชสำนักพม่า ที่ถูกระบายสีไว้อย่างเข้มข้นโดยนักจักรวรรดินิยม นักเขียน และนักวิชาการอังกฤษ และก็ถูกถ่ายทอดซ้ำแล้วซ้ำอีกในเมืองไทยของเรา ไม่ว่าจะเป็นในงานเขียน งานวิชาการ งานบันเทิงทั้งละคร ภาพยนตร์ โทรทัศน์ ก็ถูกหม่องทินอ่อง (แก้) เสนอภาพอีกด้านหนึ่งออกมาอย่างน่าประทับใจว่า


"ในเช้าวันต่อมา กษัตริย์และพระราชินีเสด็จออกท้องพระโรงเป็นครั้งสุดท้าย ในท้องพระโรงลงรักปิดทองอันกว้างใหญ่ในพระราชอุทยาน รอการเข้าเฝ้าของแม่ทัพอังกฤษ คือ นายพลเอกเปรนเดอกาสท์ ไม่ช้านักนายพลเปรนเดอกาสท์ และนายพันเอกสเลเดนเข้ามาเฝ้าอย่างเอะอะ สวมเครื่องแบบสีแดง ในท่ามกลางความสงบเงียบ ข้าราชสำนักมิอาจผ่านสายตาจากความเปลี่ยนแปลงในตัวนายพันเอกสเลเดนได้ กิริยาที่ชวนให้คนรักใคร่เอ็นดูเปลี่ยนไปเป็นทีท่าของผู้ชนะ พระเจ้าธีบอทรงถอนพระอัสสาสะ ทรงตระหนักดีว่าพระองค์จะทรงหวังเมตตาจากผู้พิชิตนั้นไม่ได้ นายทหารอังกฤษแสดงคารวะ แต่เข้มงวดและถวายเวลาให้กษัตริย์และราชินี ๔๕ นาที เพื่อเตรียมการเสด็จโดยถูกเนรเทศไปยังฝั่งตะวันตกของอินเดีย ขณะที่เจ้าพนักงานกำลังรีบเก็บฉลองพระองค์และเพชรพลอยอันมีค่า กษัตริย์ทรงขออนุญาตนายทหารอังกฤษที่จะออกจากเมืองเป็นทางการ จะทรงช้างหรือวอก็ได้ แต่เปรนเดอกาสท์ต้องการหยามน้ำหน้าพระเจ้าธีบออย่างเห็นได้ชัด จัดรถกูบเทียมโคสองตัวมาให้กษัตริย์และราชินีทรงออกจากวัง

ราษฎรต่างพากันมายืนเรียงรายเต็มทุกถนน...ภาพที่เห็นเป็นภาพของชายร่างเล็ก ท่าทางสง่า สิ้นหวัง ถูกเหยียดหยาม และพระพักตร์ซีดขาว ประทับเกวียนธรรมดา แวดล้อมด้วยทหารไว้หนวด ตัวโต สวมเสื้อแดงจำนวนหลายร้อย เป็นเหตุให้ประชาชนซึ่งพระเจ้าธีบอไม่เคยทรงรู้จักมาก่อนเลย ต่างจับใจในองค์พระเจ้าธีบอเป็นอย่างยิ่ง ผู้หญิงจำนวนมากต่างทุ่มตัวลงครวญคร่ำร่ำไห้กับพื้นดิน และผู้ชายต่างพากันออกจากเมือง พร้อมด้วยอาวุธเท่าที่ตนแสวงหาได้"


สุดท้าย ลองหันมามองว่าในความเป็น "นักประวัติศาสตร์" ของหม่องทินอ่อง และในความเป็น "นักชาตินิยม" ของท่านนั้น ism ของ nationalism ที่มีอยู่อย่างหลากหลายมากมายหลายแบบนั้น ท่านอยู่ตรงไหนของ "โทนสี" ในที่นี้อยากจะตอบ "แบบกำปั้นทุบดิน" ว่าท่านเป็นนัก "ราชาชาตินิยม" และ/หรือ "อำมาตยาชาตินิยม" เสียมากกว่านัก "ประชาชาตินิยม" และในความเป็น "นัก" นี้ ก็ยังเป็น "นักชาตินิยมทางไกล" อีกด้วย


คงจะเห็นได้ชัดจากการอภิปรายข้างต้นแล้ว ที่ "ศูนย์กลาง" ของประวัติศาสตร์ของหม่องทินอ่อง วนเวียนอยู่กับ "จักรวรรดิ" "ราชา/วีรกษัตริย์" "กำเนิดและการล่มสลาย" เสียมากกว่า ดังนั้นเราจะไม่เห็นสังคม (ไม่เห็น "ไพร่" หรือ "ทาส") ไม่เห็นระบบเศรษฐกิจ ไม่เห็น "ชีวิต" ความเป็นอยู่ ไม่เห็นการทำมาหากินของ "ประชาชน" ผู้คนทั่วๆ ไป


ลักษณะงานของท่านดูจะมีส่วนคล้ายและส่วนผสมของงานเขียนแบบของรัชกาลที่ ๖ กับสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ทรงทำให้เกิดการมองและตีความแบบ ๓ กรุง หรือ ๓ อาณาจักร (สุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์) ที่ถูกนำมา "ยำใหญ่" ขยำรวมและผสมใหม่ในงานของหลวงวิจิตรวาทการ (และผู้ที่เดินตามรอยต่อมา) ที่ "แทรก" "กรุงธนบุรี" เข้าไปหน่อย เติมอีกนิดว่าด้วยบทบาทของ "ทหารเอก" เช่น "...เจ้าพระยาโกษาเหล็ก ท่านเป็นแม่ทัพชั้นเอกของสมเด็จพระนารายณ์ สีหราชเดโช ผจญสงครามใหญ่โต ต่อตีศัตรูแพ้พ่าย เจ้าคุณพิชัยดาบหัก ก็กล้าหาญยิ่งนัก ล้วนเป็นต้นตระกูลของไทย..." สำหรับหม่องทินอ่อง "ประวัติศาสตร์" คือเรื่องราวของ "จักรวรรดิ" ของ "ชนชั้นนำ" หรือ "ผู้ปกครอง" นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์หรือทหารเอก


และในความเป็น "นักราชาชาตินิยม" และ/หรือ "นักอำมาตยาชาตินิยม" นี้ หม่องทินอ่องก็เป็น "นักชาตินิยมทางไกล" อีกด้วย ความที่ท่านเป็น "นักเรียนนอก" ต้องสัมผัสและสัมพันธ์กับชาวต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "เจ้าอาณานิคมอังกฤษ" ท่านก็ตกอยู่ในสภาพที่ศาสตราจารย์เบนเนดิก แอนเดอร์สัน เรียกว่า "specter of comparisions" หรือ "ปีศาจเปรียบเทียบหลอน"


"ปีศาจเปรียบเทียบหลอน" นี้เป็นสภาวะทางจิตที่ "นักเรียนนอก" จากอาณานิคม (หรือกึ่งอาณานิคมอย่างสยาม/ไทย) ประสบ กล่าวคือชนชั้นนำของอุษาคเนย์ในยุคนั้น (โดยมากเป็นคนหนุ่มอยู่ในวัยเรียน) ไม่ว่าจะเป็นจากพม่า เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ (หรือแม้กระทั่งจากไทย) เมื่อได้ไปเล่าเรียนศึกษาในยุโรป กลายเป็น "นักเรียนนอก" หรือ "มนุษย์พันธุ์ใหม่" ก็เกิด "การเปรียบเทียบ" สภาพของเมืองแม่อาณานิคมกับบ้านเมืองของตนโดยอัตโนมัติ เมืองนอกของฝรั่ง "ที่ได้เห็นมา" เป็น "แดนศิวิไลซ์" แต่ครั้นมองกลับมายังบ้านเมืองของตน ก็ดู "ล้าหลัง ดักดาน"


สิ่งที่ตามมาโดยอัตโนมัติอีกเช่นกัน ก็คือเกิดคำถามประเภทที่ว่า "ทำไมบ้านเมืองของเรา จึงไม่เจริญ ทำไมไม่ก้าวหน้า" และคำตอบที่มักจะได้ก็คือเพราะมี "เจ้านายเหนือหัว-ชนชั้นปกครอง" ของอาณานิคมคอยบงการอยู่ คอยเอารัดเอาเปรียบ หาได้จริงจังหรือจริงใจในการสร้างสรรค์ "ประเทศชาติของเรา" ไม่ และนี่ก็เป็นที่มาของความรู้สึกที่เรียกว่า "ลัทธิชาตินิยม" ที่ด้านหนึ่งเป็นสภาพของจิตใจของการ "แอนตี้" ฝรั่งเจ้าอาณานิคม อีกด้านหนึ่งคือความต้องการที่จะ "ฟื้นฟู" และ/หรือ "สร้างชาติ" ของตนขึ้นมา


เราจะเห็นนักชาตินิยมเช่นนี้ จากประวัติ ผลงาน และความนึกคิดของโฮเซ ริซัล ในฟิลิปปินส์ หรือโฮจิมินห์ในเวียดนาม หรือในกรณีของอองซาน ซูจี ในพม่า หรือในกรณีของซูการ์โนในอินโดนีเซีย (สองท่านหลังนี้ไม่ได้เป็น "นักเรียนนอก" ก็จริง แต่ก็ได้รับการศึกษาจากฝรั่ง มีสัมผัสและสัมพันธ์กับเจ้าอาณานิคมฝรั่ง)


ในขณะที่กรณีของสยาม/ไทย แม้จะไม่ได้เป็นเมืองขึ้นโดยตรงของฝรั่ง แต่สภาพจิตของ "ปีศาจเปรียบเทียบหลอน" ก็เกิดขึ้นในบรรดาเจ้านายสยามรุ่น ร.ศ. ๑๐๓ (ที่ทำคำกราบถวายบังคมต่อรัชกาลที่ ๕ ให้ปฏิรูปการปกครอง) หรือพวกยังเติร์ก "กบฏ ร.ศ. ๑๓๐" (ที่พยายามจะยึดอำนาจจากรัชกาลที่ ๖) และ/หรือ "ผู้ก่อการ" ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ (อย่างเช่นพระยาพหลพลพยุหเสนา ปรีดี พนมยงค์ หรือประยูร ภมรมนตรี ฯลฯ ที่ยึดอำนาจได้สำเร็จจากรัชกาลที่ ๗) เป้าของผู้นำสยามรุ่นสมัยรัชกาลที่ ๖ และ ๗ เหล่านี้ (ที่เกิด "ปีศาจเปรียบเทียบหลอน") หาใช่ฝรั่งเจ้าอาณานิคมจากภายนอกแบบประเทศเพื่อนบ้านไม่ แต่กลับเป็น "ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์" ภายในเองที่ถูกมองว่า "ล้าหลัง ถ่วงความเจริญ" นั่นเอง


ในบั้นปลายของ "ชีวิตและงาน" ว่าไปแล้วหม่องทินอ่องโชคดีมาก ที่หมดวาระการเป็น "อธิการบดี" มหาวิทยาลัยย่างกุ้งในปี ค.ศ. ๑๙๕๘/๒๕๐๑ แล้วก็ได้รางวัล (จากทั้งรัฐบาลพลเรือนและทหาร) ถูกส่งไปเป็นทูตเสียตั้ง ๔-๕ ปี ระหว่างปี ค.ศ. ๑๙๕๙-๖๓/๒๕๐๒-๐๖ ท่านไม่ต้องรู้เห็นหรือเป็นพยานต่อความตกต่ำของรัฐบาลพลเรือนของนายกรัฐมนตรีอูนุ กับการก้าวขึ้นมามีอำนาจของ "ระบบทหารและระบอบนายพลเนวิน" ที่จะมีการปราบปรามนักศึกษาและขบวนการประชาธิปไตยในพม่าอย่างรุนแรงในช่วงทศวรรษ ๑๙๖๐ และจะเป็น "บุญ" หรือเป็น "กรรม" ก็ตาม หม่องทินอ่องก็สิ้นชีวิตไปเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๗๘/๒๕๒๑ หรือ ๑๐ ปีก่อนการลุกฮือ ๘๘๘๘ ของประชาชนและนักศึกษาพม่า ที่ตามมาด้วย "รัฐอาชญากรรม" (state crime) การประหัตประหารทำลายล้างชีวิต และสภาพการเมือง "น้ำเน่านิ่ง" (politics of stagnation) ของพม่าอีกกว่าทศวรรษ


ระบบทหารพม่าไม่เพียงแต่เป็นปัญหาของคนพม่าเองเท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของ "อาเซียน" อีกด้วย



หน้า 146


ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 26 ฉบับที่ 08 มิถุนายน 2548

น้ำแข็งขั้วโลกหดเปิดเส้นทางเดินเรือตะวันตก

บีบีซีนิวส์/เอเยนซี - อีซาเผยภาพถ่ายดาวเทียมแสดงน้ำแข็งขั้วโลกบริเวณตอนเหนือแคนาดา อะลาสกาและกรีนแลนด์หดตัวต่ำสุดเปิดโอกาสเส้นทางเดิน เรือฝั่งตะวันตกสำหรับฤดูร้อนองค์การอวกาศยุโรป (ESA) เผยภาพถ่ายดาวเทียมเอนไวแซท (Envisat satellite) แสดงน้ำแข็งขั้วโลกหดตัวต่ำสุดในรอบ 30 ปี เปิดเส้นทางเดินเรือฝั่งตะวันตกผ่านตอนเหนือของแคนาด า รัฐอะลาสกา สหรัฐอเมริกาและกรีนแลนด์ในช่วงฤดูร้อน และย่นเส้นเดินทางจากยุโรปไปเอเชียผ่านคลองปานามาได้ หลายพันกิโลเมตร โดยในอดีตเส้นทางดังกล่าวซึ่งเชื่อมมหาสมุทรแอตแลนติ กและแปซิฟิกนั้นปกคลุมด้วยน้ำแข็งตลอดทั้งปีนับแต่มีการเฝ้าสังเกตน้ำแข็งมาตั้งแต่ปี 2521 อีซาระบุว่าเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาได้เห็นการหดตัวของน้ำแข็ง แต่สำหรับปีนี้ได้หดตัวสุดขีดและจะทำให้เส้นทางเดินเ รือเปิดกว้างอย่างสมบูรณ์ หากแต่ยังไม่ทราบว่าเมื่อไหร่เส้นทางฝั่งตะวันตกจะเป ิดตัวโดยสมบูรณ์ ขณะที่เส้นทางเดินเรือฝั่งตะวันออกซึ่งผ่านทางรัสเซี ยก็ปรากฏการหดตัวเช่นกันและยังคงเหลือเพียงบางส่วนเท ่านั้นที่ยังขวางกั้นการเดินทางอยู่"เราได้เห็นพื้นที่ซึ่งมีน้ำแข็งปกคลุมหดตัวราว 3 ล้านตารางกิโลเมตร โดยในช่วงปี 2548 - 2549 ลดลงถึงราว 1 ล้านตารางกิโลเมตรเมตร ทั้งนี้ในช่วง 10 ปีก่อนหน้านั้นน้ำแข็งลดลงเฉลี่ยราวปีละ 100,000 ตารางกิโลเมตร ดังนั้นการลดลงถึง 1 ตารางกิโลเมตรภายในจึงเข้าขั้นวิกฤต" ลีฟ ทูดัล ปีเดอร์สัน (Leif Toudal Pedersen) จากศูนย์อวกาศแห่งสวีเดน (Danish National Space Centre) กล่าว พร้อมชี้ว่าสัญญาณดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าน้ำแข็งในฤด ูร้อนจะหายไปเร็วกว่าที่คาดกันไว้หลักฐานทางภาพถ่ายดาวเทียมดังกล่าวยังยังนำไปเชื่อโย งกับภาวะโลกร้อนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าที่คาด โดยอีซาได้อ้างถึงคาดการณ์ของคณะกรรมาธิการระหว่างรั ฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งองค์การส หประชาชาติ (ไอพีซีซี) ที่ทำนายไว้ว่า ในฤดูร้อนของปี 2613 พื้นที่บริเวณขั้วโลกจะปราศจากน้ำแข็งเนื่องอุณหภูมิ ที่เพิ่มสูงขึ้นพร้อมกับการหายไปของทะเลน้ำแข็งอย่างไรก็ดีการเปิดเส้นทางเดินทะเลจากภาวะอากาศครั้ง นี้ได้นำไปสู่การถกเถียงระหว่างประเทศเป็นที่เรียบร้ อยแล้ว ทางด้านแคนาดาอ้างสิทธิเต็มที่เหนือเส้นทางเดินเรือฝ ั่งตะวันตกที่ผ่านอาณาเขตของประเทศซึ่งสามารถลากเส้น ผ่านบริเวณดังกล่าวได้ แต่การอ้างดังกล่าวก็ได้รับการโต้เถียงจากสหรัฐอเมริ กาและสหภาพยุโรปซึ่งแย้งว่า เส้นทางใหม่นั้นควรจะเป็นประโยชน์ของนานาชาติที่ใครจ ะเดินเรือผ่านก็ได้ขณะเดียวกันรัสเซีย นอร์เวย์ เดนมาร์ก แคนาดาและสหรัฐฯ ต่างก็แข่งขันในการเรียกร้องสิทธิบริเวณอาร์กติกอย่า งร้อนแรงขึ้นเมื่อเดือนที่ผ่านมา เมื่อรัสเซียส่งเรือดำน้ำขนาดเล็กเพื่อวางแผนที่จะปั กธงชาติใต้จุดนอร์ธโพล (North Pole) ส่วนสหรัฐฯ ก็ศึกษาพบว่า น้ำมันและก๊าซธรรมชาติในโลกถึง 25% ที่ยังไม่ได้รับการค้นพบนั้นอยู่ที่บริเวณดังกล่าวส่วนนักสิ่งแวดล้อมก็กลัวว่าการเพิ่มขึ้นของคมนาคมทา งทะเลและความพยายามในการขุดเจาะทรัพยากรธรรมชาติในบร ิเวณดังกล่าว อาจนำไปสู่การรั่วของน้ำมันและทำอันตรายของสิ่งมีชีว ิตในพื้นที่นั้นได้ในวันใดวันหนึ่งเคลส์ แรกเนอร์ (Claes Ragner) นักวิจัยจากสถาบันฟริดท์จอฟแนนเซน ( Fridtjof Nansen Institute) ของนอร์เวย์ซึ่งทำงานเกี่ยวกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อ มและการเมืองบริเวณอาร์กติกกล่าวว่า สำหรับปัจจุบันเส้นทางที่เปิดใหม่นี้เป็นเพียงสัญลัก ษณ์ที่หมายถึงการขนส่งทางทะเลในอนาคต โดยสามารถลดเส้นทางระหว่างแถบสแกนดิเนเวียและญี่ปุ่น ได้ครึ่งหนึ่ง และเส้นทางขนส่งที่สั้นลงหมายถึงการปล่อยมลพิษที่น้อ ยกว่า"แม้เส้นทางกำลังเปิดและน้ำแข็งยังคงละลายต่อเนื ่อง แต่ก็ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าที่เส้นทางดังกล่าวจะกลาย เป็นเส้นทางที่ใช้ได้โดยปกติ มันไม่ได้ปราศจากน้ำแข็งตลอดปีและไม่เป็นเส้นทางที่ค งอยู่ตลอดปี คำขอที่สำคัญสุดสำหรับการขนส่งทางทะเลคือเส้นทางที่ไ ด้รับการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพและมั่นคง แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าน้ำแข็งขั้วโลกกำลังละลายไม่ดีส ำหรับโลกที่เรากำลังสูญเสียอาร์กติกและสิ่งมีชีวิตที ่นั่น" แรกเนอร์กล่าว


ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ 18 กันยายน 2550

โรคชิคุนกุนยา (Chikungunya virus)

สธ.ยะลา สั่งการเจ้าหน้าที่เฝ้าระวัง "ชิคุนกุนยา" ใกล้ชิด

น. พ.มรุต จิรเศรษฐสิริ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดยะลา สั่งการให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดและทุกอำเภอติดตามสถานการณ์ โรคชิคุนกุนยา (Chikungunya virus) อย่างใกล้ชิด เนื่องจาก จ.ปัตตานีและนราธิวาส มีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว แต่มีเพียง จ.ยะลา เท่านั้น ที่ยังไม่พบผู้ป่วย แต่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากมีพื้นที่ติดต่อกับ 2 จังหวัด เบื้องต้นต้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนได้ทราบถึงอาการผู้ป่วยของโรค ซึ่งอาการของโรคนี้ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงฉับพลัน ปวดตามข้อต่างๆ และมีผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย แต่ไม่มีอาการคัน ซึ่งหากประชาชนมีอาการดังกล่าวข้างต้นก็ขอให้มาทำการตรวจรักษา หรือขอคำแนะนำได้ที่โรงพยาบาล หรือสถานีอนามัยทุกแห่งในพื้นที่ สำหรับการป้องกันในขณะนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ออกไปทำการแจกทรายอะเบท และฉีดพ่นบหมอกควันตามอาคารบ้านเรือนที่มีแหล่งน้ำขังอยู่ เพื่อเป็นการป้องกันและกำจัดลูกน้ำยุงลาย สำหรับ โรคชิคุนกุนยา เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค มีอาการคล้ายไข้เดงกี แต่ต่างกันที่ไม่มีการรั่วของพลาสมาออกนอกเส้นเลือด คล้ายกับไข้เลือดออก จึงไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมากจนถึงมีการช็อก

ที่มา : www.manager.co.th วันที่ 23 ตุลาคม 2551

ดวงจันทร์เป็นขุมทรัพย์แห่งใหม่ของมนุษย์?!



เห็นดวงจันทร์เป็นขุมทอง หลายชาติรุมสำรวจ ทรัพยากรเป็นการใหญ่

ไทยรัฐออนไลน์,27 ต.ค. 51


เปิดเผยชาติมหาอำนาจต่างๆ พากันมองเห็น ดวงจันทร์เป็นขุมทองแมคเคนนาแหล่งใหม่ในอนาคต โดยเฉพาะอุดมด้วยทรัพยากรหลายอย่าง รวมทั้งก๊าซฮีเลียม-3 ซึ่งอาจใช้เป็นเชื้อเพลิงในอนาคตได้
อินเดียชาติเพิ่งอวดฐานะการเป็นชาติมหาอำนาจทางอวกาศน้องใหม่ เพิ่งส่งยานอวกาศ “จันทรายาน-1” เดินทางไปยังดวงจันทร์เมื่อไม่กี่วันมานี้ หลังจากที่จีนส่งยานอวกาศสำรวจดวงจันทร์ลำแรกไป เมื่อปี พ.ศ.2550 ทั้งสองชาติยังได้ประกาศไว้ว่าจะส่งมนุษย์อวกาศไปลงบนดวงจันทร์ ก่อนปี พ.ศ.2563 นี้ ส่วนองค์การอวกาศอเมริกัน ก็ได้บอกไว้แต่ เมื่อปี พ.ศ.2547 ว่า จะหวนกลับเดินทางไปยังดวงจันทร์อีก โดยหมายมั่น ปั้นมือว่า จะสร้างบ้านที่อยู่อาศัยของมนุษย์บนดวงจันทร์ขึ้น ภายในระยะเวลาสิบปีข้างหน้านี้
ศาสตราจารย์รอดดาม นาราสิมฮา แห่งศูนย์ เพื่อการวิจัยวิทยาศาสตร์ชั้นสูง ที่เมืองบังกะลอร์ อินเดีย ได้กล่าวแจ้งว่า ชาติต่างๆ ทุกวันนี้ แข่งขันกันสำรวจดวงจันทร์ นอกจากเพื่อประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ และทางยุทธศาสตร์ ยังเพื่อประโยชน์ ทางการค้าอีกด้วย เนื่องจากมีวี่แววว่า ดวงจันทร์ อุดมด้วยทรัพยากรหลายชนิด รวมทั้งการมีฮีเลียม-3 ซึ่งถือเป็นเชื้อเพลิงชั้นเลิศของอนาคตด้วย
ทั้งนี้ ด้วยเหตุที่ดวงจันทร์ถือเป็นข้อเชื่อมโยงที่สำคัญอันหนึ่ง ในการทำความเข้าใจของการกำเนิดและ วิวัฒนาการระบบสุริยะจักรวาลและเพราะเหตุที่ไม่มีบรรยากาศ จึงถือว่าเป็นที่ซึ่งมีสภาพคงอยู่เหมือนที่เป็นอยู่ดั้งเดิมมาชั่วกาลนาน.

(www.thairath.co.th/news.php?section=technology&content=109063)

วิธีป้องกันโรคสมองเสื่อม

เลือกทำงานที่ต้องใช้สมอง ป้องกันโดนถูกโรคสมองเสื่อมเล่นงาน

ไทยรัฐออนไลน์,27 ต.ค. 51


นักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยซานราเฟลเล ที่เมืองมักกะโรนี ศึกษาพบว่า หากกลัวถูกโรคสมองเสื่อมเล่นงาน ควรจะเลือกงานที่ต้องใช้สมองทำ ตั้งแต่เรียนจบออกมาจากมหาวิทยาลัย
หัวหน้าคณะนักวิจัย อาจารย์วาเลนตินาการิบอตโต กล่าวแจ้งว่า ผู้ที่เริ่มทำงานที่ต้องใช้ ความคิดตั้งแต่เรียนจบมามักจะไม่ค่อยเกิดมีอาการระยะต้นของโรคสมองเสื่อม “เราพบทฤษฎีจากที่ ศึกษาว่า การร่ำเรียนและการทำงานที่ต้องใช้ปัญญาความคิด จะก่อให้เกิดเครื่องป้องกันมันสมองเสื่อมขึ้น หรือไม่ก็สติปัญญาสำรองเอาไว้”
นอกจากนั้น ยังพบด้วยว่า ในหมู่ผู้ที่มีอาการความจำเสื่อมด้วยกัน ผู้ที่เคยผ่านการร่ำเรียนและงานที่ต้องใช้สมองมานาน จะไม่ค่อยมีอาการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากโรคสมองเสื่อมมากเท่าใดนัก และความจำก็ไม่เสื่อมลงมากกว่าของคนอื่นด้วย.

(www.thairath.co.th/news.php?section=technology&content=109064)

วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ภาวะฉุกเฉิน



คำว่าภาวะฉุกเฉิน แปลว่าอะไรเป็นภาษาอังกฤษ ไม่ยากหรอกครับ เราคงต้องเริ่มต้นกับคำว่า ฉุกเฉิน ก่อนซึ่งแปลว่า emergency ?เช่น 

This is an emergency! (นี่คือกรณีฉุกเฉิน)

In the event of an emergency, do not use the lifts. (ในกรณีฉุกเฉิน อย่าใช้ลิฟท์)

สรุปว่าemergency situation คือ กรณีหรือสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ถ้าเป็น ภาวะฉุกเฉิน เราจะพูดว่าอะไรดี คำว่า ภาวะ ภาษาอังกฤษแปลได้หลายอย่าง รวมถึง state ครับ ใช่แล้วครับ คำเดียวกันที่แปลว่า รัฐ และ พูด แต่ที่นี่หมายถึง ภาวะ เช่น

There is a state of emergency in Bangkok. (กรุงเทพฯมีภาวะฉุกเฉิน)

แต่ในภาษาอังกฤษเรามักจะอยู่ภายใต้ภาวะฉุกเฉิน หรือunder a state of emergency เช่นในประโยคเมื่อกี๊ครับ

Bangkok is under a state of emergency.

สุกท้ายนี้กริยาที่ใช้เมื่อเจ้าหน้าที่ประกาศภาวะฉุกเฉินก็เป็นdeclare เช่น

The government declared a state of emergency. (รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉิน)

ในที่สุดรัฐบาลต้องยุติหรือประกาศเลิกภาวะฉุกเฉิน ภาษาอังกฤษใช้ กริยา lift ที่แปลว่า ยก ครับ เช่น

The government lifted the state of emergency last night. (เมื่อคืนรัฐบาลประกาศยกเลิกภาวะฉุกเฉิน)

พบกันใหม่อย่าลืมว่าภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียวครับ

(komchadluek.net/2008/10/25/x_eng_w001_221546.php?news_id=221546)