วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551

หม่องทินอ่อง : นักประวัติศาสตร์ชาตินิยมพม่า

โดย ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


เกริ่นนำ


หากจะเอ่ยชื่อของ "หม่องทินอ่อง" ในวงการประวัติศาสตร์และวรรณกรรมไทย ก็คงแทบไม่มีใครเคยรู้จัก (ทั้งๆ ที่ไทยและพม่ามีพรมแดนติดกันกว่า ๒,๐๐๐ กิโลเมตร และคงได้ติดต่อสัมพันธ์กันมาทั้งรักทั้งชังเกือบ ๑ สหัสวรรษ) แต่หากจะเอ่ยนามนี้ในวงการ "อุษาคเนย์ศึกษา" ในโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษและอเมริกัน ก็คงพอมีคนนึกออกว่างานเขียนของหม่องทินอ่อง ก่อให้เกิด "สงคราม" ย่อยๆ ในวงวิชาการ เป็นการปะทะระหว่าง "นักประวัติศาสตร์ชาตินิยม" ของหม่องทินอ่อง กับ "ยักษ์ใหญ่" ในวงการที่ถูกประณามว่าเป็น "นักประวัติศาสตร์จักรวรรดินิยม" อย่าง D.G.E. Hall (๑๘๙๑-๑๙๗๙/๒๔๓๔-๒๕๒๒) และ John F. Cady


Hall เป็นคนอังกฤษ เป็นปรมาจารย์ระดับเดียวกับ George Coedes ของฝรั่งเศส เคยเป็นข้าราชการอาณานิคมอังกฤษ เป็นอาจารย์สอนหนังสือในมหาวิทยาลัยย่างกุ้ง มีลูกศิษย์ลูกหาเป็นผู้นำระดับชาติของพม่ามากมาย (รวมทั้งหม่องทินอ่องเอง) และสุดท้ายเป็นอาจารย์ประวัติศาสตร์อุษาคเนย์ บินไปมาสลับกันระหว่างการสอนที่คอร์แนลและลอนดอน เขียนหนังสือหลายเล่ม เล่มที่แปลเป็นภาษาไทยแล้วคือ ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (A History of South-East Asia, 1955) หนังสือเล่มนี้แพร่หลายมาก ฉบับภาษาอังกฤษพิมพ์แล้วพิมพ์อีก กลายเป็นประหนึ่ง "คัมภีร์" ของวิชาอุษาคเนย์เบื้องต้น และบางคนก็กล่าวไกลไปถึงว่า D.G.E. Hall คือ "บิดาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้" ก็มี


ส่วน John F. Cady นั้นเป็นอเมริกัน เคยเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่ American Baptist College กรุงย่างกุ้ง และเขียนหนังสือเล่มสำคัญ คือ Southeast Asia : Its Historical Development, 1964 และเคยเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่โอไฮโอกับฮาวาย ซึ่งก็มีสำนักของอุษาคเนย์ศึกษาเช่นกัน แม้จะไม่โด่งดังเท่าคอร์แนลหรือลอนดอน และหนังสือของท่านก็ไม่แพร่หลายเท่ากับเล่มของ Hall


ชีวิตของหม่องทินอ่อง


แต่สำหรับคนพม่า โดยเฉพาะผู้มีการศึกษา นามของหม่องทินอ่องเป็นที่รู้จักกันดียิ่ง ท่านเป็นทั้งครู นักวิชาการ นักวรรณคดี นักเล่านิทาน นักเดินทาง นักประวัติศาสตร์ นักการศึกษา นักการทูต และที่สำคัญยิ่งคือเป็น "นักชาตินิยม" หม่องทินอ่องเกิดเมื่อ ๑๘ พฤษภาคม ๑๙๐๘ (ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๕๑ ปลายสมัยรัชกาลที่ ๕ หรือ ๘ ปีหลังสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี กับ ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งต่างก็เกิดในปี ค.ศ. ๑๙๐๐/๒๔๔๓) ท่านมีพี่น้องเป็นชาย ๓ เป็นหญิงอีก ๓ ตระกูลของท่านมีเชื้อสายผู้ดีจากราชสำนัก และก็มีการศึกษาและสถานะตำแหน่งสูง พี่ชายคนหนึ่งเป็น รมต.การต่างประเทศ อีก ๒ คนเป็นผู้พิพากษา ส่วนพี่น้องผู้หญิง คนหนึ่งเป็นนักเขียน อีก ๒ คนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย


ทินอ่อง แปลว่า "ความสำเร็จอันรุ่งโรจน์" ส่วนคำว่า "หม่อง" นั้น คนพม่าใช้เป็นคำนำหน้านาม (คนพม่าไม่นิยมมีนามสกุลตามแบบฝรั่งอย่างไทย) ถ้าเป็นคนสูงอายุหน่อยก็ใช้คำว่า "อู" ซึ่งแปลว่า "ลุง" ถ้ายังหนุ่มก็ใช้ว่า "หม่อง" ทินอ่องเป็นคนที่ young at heart เลยเก็บคำว่า "หม่อง" นี้ไว้กับตัวจนตาย ทินอ่องจบมัธยมจาก Dulwich กรุงลอนดอน ท่านไปเรียนอยู่โรงเรียนผู้ดีอังกฤษ (อันดับรอง) นี้ระหว่างปี ค.ศ. ๑๙๒๓-๒๔/๒๔๖๖-๖๗ แล้วก็กลับมาศึกษาระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยย่างกุ้งเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๒๔-๒๘/๒๔๖๗-๗๑ เรียนด้านวรรณคดี เศรษฐศาสตร์ และประวัติศาสตร์ ได้เหรียญทอง และเมื่อจบก็มีอายุเพียง ๑๙ ปี หลังจากนั้นก็กลับไปอังกฤษอีก เรียนจนได้ปริญญาอีกหลายตัวทั้งจาก Queen"s College, Cambridge, L.L.B; จาก Oxford B.C.L; จาก London School of Economics, L.L.B; จาก Trinity College, Dublin, Ph.D. (English Literature 1932-33); และ English Bar, Lincoln"s Inn, London


กล่าวกันว่าท่านเป็นคนเรียนเก่ง มีความสามารถยอดเยี่ยมเป็น "นายภาษา" ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาพม่า รักแรกของท่านในการศึกษาเล่าเรียนคือ "ภาษาและวรรณคดีอังกฤษ" ก่อนที่จะเปลี่ยนมาจับวรรณกรรมและประวัติศาสตร์พม่า


กล่าวกันอีกว่าในสมัยวัยเด็กท่าน "เกเร" มาก ในฐานะบุตรคนที่ ๔ ถูกขนาบด้วยพี่ ๓ น้อง ๓ ท่านจึง "อาละวาดน่าดู" ถึงขั้นหนีออกจากบ้านไปสมัครเป็นนักแสดงละครเร่ตามเมืองต่างๆ ในพม่า และนี่ก็เป็นที่มาของการที่ผลงานของท่านออกมาในรูปของ "นิยายนิทานพื้นบ้านพื้นเมืองพม่า" และก็แต่งหนังสือเล่มสำคัญๆ ด้านนี้ เช่น Burmese Drama (Oxford พิมพ์ปี ค.ศ. ๑๙๓๗), Burmese Folk Tales, Burmese Law Tales, Folk Elements in Burmese Buddhism, Burmese Monks" Tales เป็นต้น


ในสมัยที่หม่องทินอ่องเป็น "นักเรียนนอก" นั้น ก็ได้ไปเรียนที่กรุงดับลิน ประเทศไอร์แลนด์อีกด้วย คบหาสมาคมกับคนไอริช ชอบอกชอบใจกันมาก คนอังกฤษที่ปกครองเป็นเจ้าอาณานิคมเหนือทั้งไอริชและพม่านั้น มักจะมองว่ามนุษย์ ๒ ชนชาตินี้มีอะไรคล้ายๆ กันในแง่ของอุปนิสัยและสันดาน คือ ชอบสนุกสนาน หัวดื้อหัวรั้น "ไม่ว่านอนและไม่สอนง่าย" มีเรื่องเล่ากันว่าที่ทรินิตี้คอลเลจ กรุงดับลินนั้น หนุ่มทินอ่องอยู่หอชาย และถูกท้าทายโดยสาวงามไอริชให้กระโดดหน้าต่างลงไปหาเจ้าหล่อน หนุ่มทินอ่องเกือบตกหน้าต่างตายในครั้งนั้น และก็เกือบถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย


เมื่ออายุได้ ๒๕ ปี และหลังจากการจากบ้านเกิดเมืองนอนไป ๕ ปี หนุ่มทินอ่องก็หอบปริญญาหลายใบกลับพม่า และเริ่มต้นชีวิตการทำงานด้วยการเป็นอาจารย์สอนภาษาและวรรณคดีอังกฤษที่มหาวิทยาลัยย่างกุ้ง ท่านเป็นพม่าคนแรกที่ได้รับตำแหน่ง "ศาสตราจารย์" ซึ่งในสมัยนั้นมีแต่คนอังกฤษหรือไม่ก็คนอินเดียเท่านั้นที่จะได้รับตำแหน่งอันสูงส่งนี้ ในสมัยอาณานิคมอังกฤษเอาพม่าไปปกครองไว้ใต้ร่มธงเดียวกันกับอินเดีย และคนพม่าก็ต้องแข่งขันกับคนอินเดียอย่างหนักในบ้านเมืองของตนเอง หนุ่มทินอ่องไต่ขั้นบันไดไปจนได้เป็นเลขานุการสภาการศึกษาแห่งชาติ เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๓๖-๔๖/๒๔๗๙-๘๙ และท้ายที่สุดในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการที่พม่าได้เอกราชหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ท่านก็ได้ตำแหน่งสูงถึง "อธิการบดี" มหาวิทยาลัยย่างกุ้งในปี ค.ศ. ๑๙๔๖/๒๔๘๙ เมื่ออายุได้ ๓๘ และดำรงตำแหน่งนี้อยู่นานถึงปี ค.ศ. ๑๙๕๘/๒๕๐๑ รวมแล้วเป็นเวลา ๑๒ ปี


หลังจากนั้นท่านได้รับ "รางวัล" ถูกตั้งให้ไปเป็นทูตพม่าประจำศรีลังกา ระหว่างปี ค.ศ. ๑๙๕๙-๖๓/๒๕๐๒-๐๖ และยังเป็นตัวแทนของพม่าในสหประชาชาติ ได้รับเชิญเป็นอาจารย์พิเศษบรรยายในมหาวิทยาลัยระดับนำในโลกฝรั่ง หม่องทินอ่องสิ้นชีวิตไปเมื่อ ๑๐ พฤษภาคม ๑๙๗๘/๒๕๒๑ ในขณะที่เตรียมตัวเดินทางไปเป็นอาจารย์พิเศษสอนประวัติศาสตร์พม่าที่เยอรมนี รวมสิริอายุได้ ๗๐ ปี ท่านมีภริยาคู่ทุกข์คู่ยากเป็นนักกฎหมาย และเพื่อเป็นเกียรติแก่ท่าน ในการจัดการเฉลิมฉลองการก่อตั้งเมื่อปี ๑๙๙๕/๒๕๓๘ มหาวิทยาลัยย่างกุ้งได้สร้างอนุสาวรีย์ของท่านขึ้นไว้ใน "หอเกียรติยศ"


อันว่ามหาวิทยาลัยย่างกุ้งนั้นถือได้ว่าเป็นมหาวิทยาลัยระดับนำในยุคสมัยอาณานิคม มีสถานะทางวิชาการใกล้เคียงกับบรรดาสถาบันการศึกษาที่อังกฤษตั้งขึ้นในอุษาคเนย์ เช่น ที่สิงคโปร์ ปีนัง มลายู (ที่จะกลายมาเป็น University of Malaya ของมาเลเซีย และ National University of Singapore ของสิงคโปร์ ซึ่งติดอันดับต้นๆ ของมหาวิทยาลัยชั้นนำของเอเชียทุกครั้งเมื่อมีการจัดอันดับ)


มหาวิทยาลัยย่างกุ้งเดิมเป็นเพียงวิทยาลัย Rangoon College ตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. ๑๘๗๘/๒๔๒๑ (ตรงกับต้นสมัยรัชกาลที่ ๕ หรือก่อนตั้งโรงเรียนสวนกุหลาบฯ ๔ ปี) มีสถานะเป็นเพียงสาขาของมหาวิทยาลัยกัลกัตตา ซึ่งยุคนั้นเป็นศูนย์กลางของอำนาจอังกฤษก่อนที่จะย้ายเมืองหลวงไปอยู่นิวเดลี วิทยาลัยย่างกุ้งใช้หลักสูตรอังกฤษและสอนเป็นภาษาอังกฤษ โดยอาจารย์ชาวอังกฤษและอินเดีย (ซึ่ง D.G.E. Hall ก็เคยดำรงตำแหน่งประจำอาจารย์ประวัติศาสตร์ที่นี่ระหว่างปี ค.ศ. ๑๙๒๑-๓๔/๒๔๖๔-๗๗ บุกเบิกอยู่ถึง ๑๓ ปี) ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙๒๐/๒๔๖๓ ด้วยแรงดันของนักลัทธิประชาชาตินิยมพม่า ก็ได้รับการสถาปนาเป็น Rangoon University โดยรวมเอาสถาบันการศึกษาของพวกสอนศาสนา คือ Judson College เข้ามาด้วย เป็นอิสระจากมหาวิทยาลัยกัลกัตตา ดังนั้นมหาวิทยาลัยย่างกุ้งก็เกิดหลังมหาวิทยาลัยแรกของสยาม คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ถือกำเนิดเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๑๗/๒๔๕๙/๖๐ เพียง ๓ ปี


ทันทีที่เกิด (หรือพูดให้ถูกต้องก็คือยกสถานะขึ้นมาจากวิทยาลัยเดิม) นั้น มหาวิทยาลัยย่างกุ้งก็คุกรุ่นไปด้วยกิจกรรมทางการเมืองของนักศึกษา (ทำนองเดียวกันกับมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง) ที่ประท้วงหยุดเรียน เรียกร้องสิทธิและความเท่าเทียมเสมอภาคให้กับคนพม่า นักศึกษาเต็มไปด้วยความคิด "ลัทธิชาตินิยม" สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับผู้บริหารและผู้ปกครองทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษหรือผู้นำทหารพม่าผู้สืบทอดและกุมอำนาจต่อมา นักศึกษามหาวิทยาลัยย่างกุ้งมีการประท้วงครั้งสำคัญตั้งแต่ยุคสมัยของการก่อตั้งในปี ค.ศ. ๑๙๒๐/๒๔๖๓ และ ๑๙๓๖/๒๔๗๙ นักศึกษารณรงค์เรียกตนเองว่า "ตะขิ่น" (แปลว่า "นาย") เพื่อสร้างความเท่าเทียมกับฝรั่ง เพลงปลุกใจของนักศึกษายุคนี้กลายเป็นต้นกำเนิดของ "เพลงชาติพม่า" ที่ยังใช้ร้องและบรรเลงอยู่ในปัจจุบัน


ดังนั้นในสมัยหลังเอกราช โดยเฉพาะเมื่อลัทธิทหารนิยม (militarism ของเนวินและคณะทหารรุ่นต่อๆ มา) เข้าครอบงำพม่า นักศึกษามหาวิทยาลัยนี้จึงกลายเป็นหัวหอกประท้วงเผด็จการทหารพม่าเป็นประจำ ไม่ว่าจะในยุค ๑๙๖๒/๒๕๐๕ (ที่ตึกองค์การนักศึกษาถูกวางระเบิดมหาประลัยจนย่อยยับและมีนักศึกษาเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก) ไม่ว่าจะเป็นสมัยของ "การลุกฮือ ๘๘๘๘" (คือวันที่ ๘ เดือน ๘ คือสิงหาคม ปี ๑๙๘๘) เพื่อสนับสนุนขบวนการประชาธิปไตยและวีรสตรี "อองซาน ซูจี" และก็ไม่น่าสงสัยอะไรที่มหาวิทยาลัยย่างกุ้งถูกปิดมากกว่าเปิดเรียน และต้องถูก "ย้าย" ออกไปนอกเมืองหลวงนับแต่นั้นมา (ประสบชะตากรรมเดียวกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของอุษาคเนย์ เช่น University of the Philippines, University of Indonesia, และ/หรือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ต่างก็ถูกขับออกจากเมืองไปเป็นมหาวิทยาลัย "ชายขอบ" และนักศึกษาก็หมดบทบาท "นำ" ด้วยข้ออ้างและวาระซ่อนเร้นว่าด้วยการ "ขยาย" ของสภามหาวิทยาลัยและผู้บริหาร)


ตามสถิตินั้นมหาวิทยาลัยย่างกุ้งปิดมากกว่าเปิด ดังนี้ ปิดเป็นเวลา ๓ ปีหลัง "ลุกฮือ ๘๘๘๘" พอเปิดได้หน่อยหนึ่งไม่กี่เดือนในปี ค.ศ. ๑๙๙๑/๒๕๓๔ ปีนั้นอองซาน ซูจี ได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ นักศึกษาเดินขบวนเพื่อสนับสนุนเธอ มหาวิทยาลัยก็เลยถูกทหารสั่งปิดอีก


นับแต่นั้นมาเป็นเวลากว่า ๑๐ ปี มหาวิทยาลัยย่างกุ้งก็ถูกปิดและถูกบีบให้ "ย้าย" เรื่อยมา บางปีให้มีเรียนและสอบเพียง ๔-๕ เดือน บรรยากาศเงียบเหงา เข้า-ออกมหาวิทยาลัยยุ่งยาก ตึกรามทรุดโทรม จนไม่น่าเชื่อว่านี่คือมหาวิทยาลัยชั้นนำสุดของพม่าและอุษาคเนย์ ที่ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณที่งดงามของทะเลสาบอินยา มีต้นไม้ครึ้มไปหมด และล้อมรอบด้วยถนนสายสำคัญทางประวัติศาสตร์และการเมือง คือถนนยูนิเวอร์ซิตี้ (University Avenue ทางไปบ้านอองซาน ซูจี ที่ถูกกักกันอยู่นานปี) กับถนนเมืองแปร ไม่น่าเชื่อว่านี่คือ "แหล่งศึกษา" ที่ผลิตผู้นำของชาติแบบอองซาน หรืออูนุ ฯลฯ กล่าวได้ว่าพม่าต้องสูญเสียคนหนุ่มคนสาวที่ขาดการศึกษาเล่าเรียนไป "หนึ่งชั่วอายุคน" โดยแท้

ผลงานวิชาการของหม่องทินอ่อง

มีคำพังเพยอยู่วรรคหนึ่งว่า "ชีวิตปราชญ์นั้นไซร้ รู้ได้ดีสุดจากสมุดหนังสือของปราชญ์นั้นแล" (a scholar"s life is best known by his own books) หม่องทินอ่องเขียนหนังสือเป็นภาษาอังกฤษตีพิมพ์แพร่หลายกว่า ๑๐ เล่ม ส่วนใหญ่เป็นงานทางด้านวรรณกรรมพื้นบ้านดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น อีกส่วนหนึ่งเป็นด้านประวัติศาสตร์ของพม่ากับอังกฤษ ครั้งหนึ่งท่านดำรงตำแหน่งนายก "สมาคมวิจัยพม่า" (Burma Research Society ก่อตั้งปี ค.ศ. ๑๙๑๐/๒๔๕๓) และเขียนบทความเด่นๆ ตีพิมพ์ในวารสารของสมาคมอันทรงเกียรติ คือ Journal of the Burma Research Society (JBRS) วารสารนี้เป็นแหล่งรวมของนักปราชญ์ราชบัณฑิตทั้งพม่าและชาวต่างชาติ ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับ "โบราณคดี" ทั้งหลายทั้งปวงของพม่า คล้ายๆ กันกับวารสารของสมาคมในรูปแบบเดียวกันของ Royal Asiatic Society ของอังกฤษ หรือ Siam Society ของไทย (สยามสมาคมก่อตั้งปี ค.ศ. ๑๙๐๔/๒๔๔๗) ฯลฯ


ในแง่ของผลงานทางประวัติศาสตร์ หม่องทินอ่องได้ขุดค้นเอกสารเก่าทั้ง "พงศาวดาร" หรือ "ยาซาวิน" ออกมาใช้ พร้อมๆ กับการใช้เอกสารจากเจ้าอาณานิคมอังกฤษ ดังนั้นงานประวัติศาสตร์ของท่านจึงมีมุมมองจากด้านของพม่า มีงานเขียนเด่นๆ เช่น Burmese History Before 1287 ที่เท้าความกลับไปไกลยังสมัยพุกาม หรือ A Defence of the Chronicles ที่ให้ความสำคัญต่อเอกสารประเภทพงศาวดารและตำนานเก่าของพม่า (ที่มักจะถูกมองข้ามโดยนักปราชญ์ฝรั่งและ/หรือบรรดานักประวัติศาสตร์กระแสหลัก) และที่สำคัญอย่างยิ่ง คืองานแปลเอกสาร First Burmese Embassy to the Court of St. James ซึ่งเป็นจดหมายเหตุรายวันระหว่างปี ค.ศ. ๑๘๗๒-๗๔/๒๔๑๕-๑๗ ของราชทูต Kinwun Mingyi ที่พระเจ้ามินดงส่งไปเฝ้าพระนางวิกตอเรียในช่วงนั้น


พระเจ้ามินดง กษัตริย์พม่ามีอะไรที่คล้ายกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ของสยาม คือความพยายามที่จะปฏิรูปประเทศให้รอดพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้น และพยายามที่จะติดต่อกับราชสำนักพระนางวิกตอเรียโดยตรง แทนที่จะติดต่อผ่านตัวแทนของอังกฤษในอินเดีย ดังนั้นคณะทูตชุดของ "กินหวุ่นมินจี" ก็ถูกส่งไปเจริญสัมพันธไมตรีที่กรุงลอนดอนเมื่อปี ค.ศ. ๑๘๗๒-๗๔/๒๔๑๕-๑๗ เป็นเวลา ๑๐ กว่าปี หลังจากชุดราชทูตของไทย ที่นำโดยพระยามหามนตรีสุริยวงศ์ (ชุ่ม บุนนาค) ไปถึงในปี ๑๘๕๗/๒๔๐๐ (ชุดนี้เป็นชุดเดียวกันกับที่มี "หม่อมราโชทัย" เจ้าของ "นิราศลอนดอน" ร่วมไปด้วยฐานะล่ามผู้รู้ภาษาอังกฤษ และก็เป็นชุดที่สืบเนื่องจากการลงนามสนธิสัญญาเบาริ่งปี ๑๘๕๕/๒๓๙๘)


น่าสนใจและน่าแทรกไว้ตรงนี้ คือหม่องทินอ่องเขียนบรรยายถึง "ความไม่สำเร็จ" ของทูตชุดกินหวุ่นมินจีไว้ว่า คณะทูตชุดนี้ของพม่าได้รับการต้อนรับจากเสนาบดีกระทรวงอินเดีย แทนที่จะเป็นเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งก็ทำให้ฐานะของพม่าไม่เท่าเทียมกับอังกฤษ (และก็ไม่เท่าเทียมกับสยามของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอีกด้วย) กล่าวได้ว่าแม้พม่าจะยังไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษทั้งหมดในสมัยของพระเจ้ามินดงก็ตาม แต่ราชสำนักและรัฐบาลพม่าก็ปฏิบัติกับคณะทูตประหนึ่งเป็นอาณานิคมไปแล้ว หม่องทินอ่องบรรยายอย่างขมขื่นว่า พระนางวิกตอเรียบีบบังคับให้คณะทูตพม่าคลานคุกเข่าเข้าเฝ้า ซึ่งฝ่ายพม่าตีความว่าการต้องเข้าเฝ้าในรูปแบบนี้ถือเป็น "ความไม่เท่าเทียม" เพราะพม่าต้องการยืนเข้าเฝ้าแบบเดียวกับที่ทูตอังกฤษทำ (เรื่องนี้ต่างกับราชทูตไทยอย่างชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ ที่เต็มอกเต็มใจที่จะคลานเข้าเฝ้าพระนางวิกตอเรีย (หรือพระเจ้านโปเลียนที่ ๓) โดยสิ้นเชิง และสยามยุคนั้นก็คงจะตีความว่าเป็นการ "รักษาขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม" แทน "ความไม่เท่าเทียม")


ในการแปลงาน "จดหมายเหตุรายวันของกินหวุ่นมินจี" (First Burmese Embassy to the Court of St. James) นั้น หม่องทินอ่องได้ใช้เอกสารประกอบจากทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส พร้อมทั้งขุดค้นเรื่องราวเบื้องหลังของตัวบุคคลสำคัญของหลายๆ ฝ่ายออกมาอย่างชัดเจน ทำให้เห็นสภาพของพม่าก่อนการเสียกรุงมัณฑะเลย์ (๑๘๘๕/๒๔๒๘) ในเวลาต่อมาว่าเป็นอย่างไร บรรยากาศเต็มไปด้วยความผิดหวัง เพราะความพยายามในการปฏิรูปและปลูกไมตรีกับอังกฤษของพระเจ้ามินดงไม่ประสบผลสำเร็จ นโยบายหลักของอังกฤษในยุคนั้น คือการทำให้อาณาบริเวณอ่าวเบงกอลและทะเลอันดามัน จากเมืองกัลกัตตาข้ามมายังพม่าตอนล่างแถบทวาย มะริด ตะนาวศรี เลาะเลียบชายฝั่งทะเลตะวันตกของไทย (กระบี่ พังงา ภูเก็ต) ไปจนถึงเกาะปีนังและสิงคโปร์ กลายเป็นทะเลสาบน้อยๆ ของจักรวรรดิอังกฤษในอนุทวีปและอุษาคเนย์ ดังนั้นพม่าก็เปรียบเสมือน "ลูกแกะ" ที่รอวัน "หมาป่า" ขย้ำนั่นเอง นี่เป็นภาพจากมุมมองของนักประวัติศาสตร์พม่า แทนภาพจากด้านของฝรั่ง (ซึ่งไทยก็รับเข้ามาอย่างเต็มที่) ที่ว่าสมควรแล้วที่ "พม่าเสียเมือง" เพราะกษัตริย์และราชินีพม่า "เลว หยิ่งยโสโอหัง และโหดร้าย ทารุณ ป่าเถื่อน"


ในบรรดาผลงานทางประวัติศาสตร์ของหม่องทินอ่อง คงไม่มีเล่มใดที่จะ "ฮือฮา" เท่ากับหนังสือ ๒ เล่ม คือ The Stricken Peacock : Anglo-Burmese Relations 1752-1948 (พิมพ์ครั้งแรกปี ค.ศ. ๑๙๖๕/๒๕๐๘, The Hague : Martinus Nijhoff) และ A History of Burma (พิมพ์ครั้งแรกปี ค.ศ. ๑๙๖๗/๒๕๑๐, Columbia University Press) หนังสือทั้ง ๒ เล่มนี้ทำให้หม่องทินอ่องได้รับการวิพากษ์ว่าเป็น "นักประวัติศาสตร์ชาตินิยม" และเป็น "ผู้แก้ต่าง" ให้กับกษัตริย์และราชวงศ์คองบอง ซึ่งหม่องทินอ่องเองก็โต้กลับทั้ง Hall และ Cady ดังกล่าวแล้วข้างต้น คำโต้เผ็ดร้อนนี้ปรากฏในปาฐกถาพิเศษเมื่อ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๑๙๗๓/๒๕๑๖ เรื่อง G.E. Harvey : Imperialist or Historian? ดูได้จากเว็บไซต์ (http://www.myanmar.gov.mm/Perspective/persp2002/5-2002/har.htm) และหากสนใจในประเด็นของ "นักประวัติศาสตร์จักรวรรดินิยม" ก็หาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก Manuel Sarkisyanz, Peacocks, pagodas and Professor Hall; a critique of the persisting use of historiography as an apology for British Empire-Building in Burma, Ohio University, Center for International Studies, 1972


ในขณะที่ Hall วิพากษ์ว่าหม่องทินอ่องเก่งวรรณคดี แต่ไม่รู้เรื่องงานประวัติศาสตร์ และน่าเสียดายที่ไม่ใช้จารึกจำนวนมากของสมัยพุกาม (ที่ปราชญ์คนสำคัญว่าด้วยพม่าศึกษา คือ G.H. Luce อ่านและตีพิมพ์ไว้มากมาย) หม่องทินอ่องก็โต้กลับ "แสบๆ" ว่า "เป็นความจริงที่ข้าฯ ไม่ได้เป็นนักประวัติศาสตร์อาชีพ แต่สมาชิกตระกูลข้าฯ ก็สร้างประวัติศาสตร์พม่ามาหลายศตวรรษ ข้าฯ รับว่าทำปริญญาเอกด้านวรรณคดีอังกฤษ และเขียนหนังสือว่าด้วยนิทานพื้นบ้าน ๔ เล่ม แต่ก็ได้ทำปริญญาด้านรัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย ซึ่งเป็นสาขาวิชาเทียบเคียงได้กับประวัติศาสตร์ ลอร์ด (เมย์นาร์ด) เคนส์เองก็เรียน "คลาสสิก" ก่อนที่จะทำงานเขียนด้านเศรษฐศาสตร์ และลูซก็เรียนวรรณคดีอังกฤษก่อนย้ายมาประวัติศาสตร์..."


การโต้เป็นไปอย่างเผ็ดมัน และตบท้ายด้วยการ "แย็บ" ว่าทั้ง Hall และ Cady นั้นอยู่พม่านานแสนนานปีแต่ไม่รู้ภาษาพม่าเลย นี่เป็นข้อบังคับหนึ่งของ "อาณาบริเวณศึกษา" หรือ area studies ในยุค 1960s เป็นต้นมา ว่าต้องรู้ภาษาในภูมิภาค ไม่ใช่งมอยู่กับภาษามหาอำนาจจักรวรรดินิยมอย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ดัตช์ ฯลฯ หากไม่รู้ภาษาของภูมิภาคก็จะไม่สามารถรู้เรื่องราวอย่างเป็นวิชาการได้ หม่องทินอ่องจบปาฐกถาครั้งสำคัญนั้นด้วยประโยคภาษาอังกฤษคมๆ ว่า "ความจริงของข้าฯ ไม่ใช่ความจริงของเจ้า ความจริงหรือความเท็จ ให้มันเป็นไปตามประสามัน" (What is truth to me is not to thee และ but truth or untruth, let it be)


หนังสือประวัติศาสตร์พม่า หรือ A History of Burma นี้ สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยโคลัมเบียเป็นผู้ตีพิมพ์ ประกอบด้วย ๑๒ บทอย่างกะทัดรัด พร้อมด้วยปัจฉิมลิขิต อันเป็นบทสัมภาษณ์ระหว่างผู้เขียนกับบรรณาธิการ และมีภาคผนวกที่เป็นประโยชน์มากๆ เกี่ยวกับลำดับศักราชเหตุการณ์และลำดับกษัตริย์ และหนังสือเล่มนี้ก็ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยโดยศาสตราจารย์เพ็ชรี สุมิตร โดยมีโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สมัยที่ยังไม่ได้จัดตั้งเป็นมูลนิธิ มี ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นประธาน ดำเนินการตีพิมพ์ไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๑๙ (ช่วงเวลาเดียวกับ "บ้านเมืองของเราลงแดง" รัฐประกอบอาชญากรรมสังหารนิสิตนักศึกษา ประชาชน เมื่อ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ และตัวประธานเองก็ต้องกลายเป็น "แต่คนดี เมืองไทยไม่ต้องการ")


ผลงานประวัติศาสตร์พม่า ชิ้นนี้เป็น "ประวัติศาสตร์ชาตินิยม" อย่างไม่ต้องสงสัย แต่จะเป็น "ปีก" ไหนของ "ชาติ" นั้นก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง และที่สำคัญคือ หนังสือเล่มนี้เป็นประวัติศาสตร์ที่สะท้อนมุมมองของนักประวัติศาสตร์พม่า ที่เขียนขึ้นมาในยุคของ "การสร้างชาติ" เขียนขึ้นหลังจากจักรวรรดิอังกฤษได้ล่มสลายไปเพราะสงครามโลกครั้งที่ ๒ พร้อมๆ กับการทวีความรุนแรงของ "ลัทธิชาตินิยม" ของพม่า (ในที่นี้ขอแปลคำ nation ว่า "ชาติ" แทน "ประชาชาติ" แต่จะแยกแยะให้เห็น "โทนสี" ของความแตกต่างกับสิ่งที่เมื่อเป็น ism แล้ว ว่าจะเป็น "ราชาชาตินิยม" หรือ "อำมาตยาชาตินิยม" และ/หรือ "ประชาชาตินิยม" อย่างไรในตอนต่อไป)

ดังนั้นเนื้อหาของประวัติศาสตร์ยุคโบราณของหม่องทินอ่อง จึงมีศูนย์กลางอยู่ที่ "๓ จักรวรรดิ" หม่องทินอ่องมองอดีตของพม่าอย่างใหญ่โตมโหฬารแบบ "จักรวรรดิ" แทนที่จะเป็นเพียง "อาณาจักร" คือมี ๑. จักรวรรดิพุกาม ๒. จักรวรรดิหงสาวดี (พะโค) และ ๓. จักรวรรดิอังวะ/อมรปุระ ซึ่งถือได้ว่าพม่าพิชิตสภาวะอันกระจัดกระจายของชนต่างเผ่าต่างหมู่ มารวมกันอยู่เป็น "เอกภาพ" ภายใต้กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เพียงไม่กี่พระองค์ เช่น อนิรุธ (อโนรธา)/ครรชิต (จันสิทธา), ตะเบ็งชเวตี้/บุเรงนอง, อลองพญา/มังระ ก่อนที่จะตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ จักรวรรดิพม่าทั้ง ๓ ดูจะขึ้นและลงพร้อมๆ กับเรื่องราวของบรรดาวีรกษัตริย์ พร้อมๆ กับการทำสงครามเพื่อสถาปนาความยิ่งใหญ่ ส่วนองค์ประกอบอื่นๆ ไม่ว่าเศรษฐกิจหรือสังคมเกือบไม่ได้รับการกล่าวถึงเลย (ยกเว้นด้านวรรณกรรมและศิลปกรรมที่หม่องทินอ่องชำนาญและให้ความสนใจเป็นพิเศษ)


กล่าวโดยย่อ ทั้ง "ปรัชญาประวัติศาสตร์" และ "ประวัติศาสตร์นิพนธ์" ของหม่องทินอ่อง ก็เป็นเรื่องของ "วัฏจักร" (cycle) ของ rise และ fall ของ "จักรวรรดิ" และของ "วีรกษัตริย์" (แต่ไม่มีวีรสตรี) หนังสือเล่มนี้จบลงตรงบทที่พม่า fall ตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษในปี ค.ศ. ๑๘๘๖/๒๔๒๙ และแล้วพม่าก็ rise อีกครั้งเมื่อได้เอกราชในปี ค.ศ. ๑๙๔๘/๒๔๙๑


ดังที่กล่าวมาแล้ว ตรงนี้ท้ายเล่มมี "ปัจฉิมลิขิต" ซึ่งเป็นการถามตอบกันระหว่างหม่องทินอ่องกับบรรณาธิการ ที่ว่าทำไมถึงไม่เขียนเลยมาจนถึงประมาณทศวรรษ ๑๙๖๐ ในช่วง "ยุคทอง" ของ "เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา" อันเป็นช่วงที่หนังสือเล่มนี้ได้รับการเขียนและตีพิมพ์ขึ้นมา คำตอบก็คือ "การได้มาซึ่งเอกราช" เป็น "หัวเลี้ยวหัวต่อ" ที่หม่องทินอ่องเชื่อว่านี่ก็คือ "rise" อีกรอบหนึ่ง และในความเชื่อแบบ (ประวัติศาสตร์เก่า) ของท่าน ก็คือ "ตะกอนยังไม่นอนก้น" เหตุการณ์ต่างๆ ยังสับสนไม่ลงตัว (ฝุ่นยังฟุ้งอยู่) ดังนั้นก็ต้องรอเวลาอีกระยะหนึ่งถึงจะเขียนขึ้นมาได้


ทีนี้หันมาดูความเป็น "นักชาตินิยม" ของหม่องทินอ่อง ซึ่งทำให้ท่านต้อง "แก้ต่าง" ให้กับบรรดาวีรกษัตริย์และ "ต้นตระกูลพม่า" และดังนั้นในสงครามพิชิตอยุธยา (ที่เราถือว่า "เสียกรุงครั้งที่ ๒" เมื่อปี ค.ศ. ๑๗๖๗/๒๓๑๐) นั้น หม่องทินอ่องก็กล่าวแก้ (ตัว) การ "ได้กรุง" ของกองทัพพม่าไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้


"ในเดือนเมษายน ค.ศ. ๑๗๖๗ พม่าขุดอุโมงค์ลอดใต้กำแพง และเอาฟางกับเศษไม้ใส่พร้อมทั้งจุดไฟเผา เมื่อกำแพงส่วนหนึ่งพังลง ทหารพม่าก็เข้าเมืองได้ ตรงกันข้ามกับหลักฐานที่ฝ่ายไทยกล่าวไว้ คือ มิได้มีการฆ่าฟันผู้คน เพียงแต่จับทั้งกษัตริย์และข้าราชสำนักทั้งหมดไปเป็นเชลย เก็บทรัพย์สินมีค่าไปและเผาเมืองเสีย ทำลายกำแพงลงและถมคู พาเชลยกลับไปเมืองพม่า เช่นเดียวกับครั้งที่พระเจ้าบุเรงนองตีได้อยุธยา พม่านำตัวละคร นักดนตรี ศิลปิน ช่างต่างๆ หมอ โหราจารย์ ช่างทอผ้า ช่างเงิน ช่างทอง ผู้มีความรู้ในแนวต่างๆ กวีและอื่นๆ กลับไปด้วย ยังผลให้เกิดการฟื้นฟูวรรณคดีและศิลปะพม่า"


และก็เช่นเดียวกันกับในการบรรยายถึงวาระสุดท้ายของกษัตริย์และมเหสีเมื่อ "พม่าเสียเมือง" ให้กับอังกฤษเมื่อปี ค.ศ. ๑๘๘๕/๒๔๒๘ นั้น ภาพของความ "ไร้" อารยะ ความป่าเถื่อน ความ "งี่เง่า" ของสถาบันกษัตริย์และราชสำนักพม่า ที่ถูกระบายสีไว้อย่างเข้มข้นโดยนักจักรวรรดินิยม นักเขียน และนักวิชาการอังกฤษ และก็ถูกถ่ายทอดซ้ำแล้วซ้ำอีกในเมืองไทยของเรา ไม่ว่าจะเป็นในงานเขียน งานวิชาการ งานบันเทิงทั้งละคร ภาพยนตร์ โทรทัศน์ ก็ถูกหม่องทินอ่อง (แก้) เสนอภาพอีกด้านหนึ่งออกมาอย่างน่าประทับใจว่า


"ในเช้าวันต่อมา กษัตริย์และพระราชินีเสด็จออกท้องพระโรงเป็นครั้งสุดท้าย ในท้องพระโรงลงรักปิดทองอันกว้างใหญ่ในพระราชอุทยาน รอการเข้าเฝ้าของแม่ทัพอังกฤษ คือ นายพลเอกเปรนเดอกาสท์ ไม่ช้านักนายพลเปรนเดอกาสท์ และนายพันเอกสเลเดนเข้ามาเฝ้าอย่างเอะอะ สวมเครื่องแบบสีแดง ในท่ามกลางความสงบเงียบ ข้าราชสำนักมิอาจผ่านสายตาจากความเปลี่ยนแปลงในตัวนายพันเอกสเลเดนได้ กิริยาที่ชวนให้คนรักใคร่เอ็นดูเปลี่ยนไปเป็นทีท่าของผู้ชนะ พระเจ้าธีบอทรงถอนพระอัสสาสะ ทรงตระหนักดีว่าพระองค์จะทรงหวังเมตตาจากผู้พิชิตนั้นไม่ได้ นายทหารอังกฤษแสดงคารวะ แต่เข้มงวดและถวายเวลาให้กษัตริย์และราชินี ๔๕ นาที เพื่อเตรียมการเสด็จโดยถูกเนรเทศไปยังฝั่งตะวันตกของอินเดีย ขณะที่เจ้าพนักงานกำลังรีบเก็บฉลองพระองค์และเพชรพลอยอันมีค่า กษัตริย์ทรงขออนุญาตนายทหารอังกฤษที่จะออกจากเมืองเป็นทางการ จะทรงช้างหรือวอก็ได้ แต่เปรนเดอกาสท์ต้องการหยามน้ำหน้าพระเจ้าธีบออย่างเห็นได้ชัด จัดรถกูบเทียมโคสองตัวมาให้กษัตริย์และราชินีทรงออกจากวัง

ราษฎรต่างพากันมายืนเรียงรายเต็มทุกถนน...ภาพที่เห็นเป็นภาพของชายร่างเล็ก ท่าทางสง่า สิ้นหวัง ถูกเหยียดหยาม และพระพักตร์ซีดขาว ประทับเกวียนธรรมดา แวดล้อมด้วยทหารไว้หนวด ตัวโต สวมเสื้อแดงจำนวนหลายร้อย เป็นเหตุให้ประชาชนซึ่งพระเจ้าธีบอไม่เคยทรงรู้จักมาก่อนเลย ต่างจับใจในองค์พระเจ้าธีบอเป็นอย่างยิ่ง ผู้หญิงจำนวนมากต่างทุ่มตัวลงครวญคร่ำร่ำไห้กับพื้นดิน และผู้ชายต่างพากันออกจากเมือง พร้อมด้วยอาวุธเท่าที่ตนแสวงหาได้"


สุดท้าย ลองหันมามองว่าในความเป็น "นักประวัติศาสตร์" ของหม่องทินอ่อง และในความเป็น "นักชาตินิยม" ของท่านนั้น ism ของ nationalism ที่มีอยู่อย่างหลากหลายมากมายหลายแบบนั้น ท่านอยู่ตรงไหนของ "โทนสี" ในที่นี้อยากจะตอบ "แบบกำปั้นทุบดิน" ว่าท่านเป็นนัก "ราชาชาตินิยม" และ/หรือ "อำมาตยาชาตินิยม" เสียมากกว่านัก "ประชาชาตินิยม" และในความเป็น "นัก" นี้ ก็ยังเป็น "นักชาตินิยมทางไกล" อีกด้วย


คงจะเห็นได้ชัดจากการอภิปรายข้างต้นแล้ว ที่ "ศูนย์กลาง" ของประวัติศาสตร์ของหม่องทินอ่อง วนเวียนอยู่กับ "จักรวรรดิ" "ราชา/วีรกษัตริย์" "กำเนิดและการล่มสลาย" เสียมากกว่า ดังนั้นเราจะไม่เห็นสังคม (ไม่เห็น "ไพร่" หรือ "ทาส") ไม่เห็นระบบเศรษฐกิจ ไม่เห็น "ชีวิต" ความเป็นอยู่ ไม่เห็นการทำมาหากินของ "ประชาชน" ผู้คนทั่วๆ ไป


ลักษณะงานของท่านดูจะมีส่วนคล้ายและส่วนผสมของงานเขียนแบบของรัชกาลที่ ๖ กับสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ทรงทำให้เกิดการมองและตีความแบบ ๓ กรุง หรือ ๓ อาณาจักร (สุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์) ที่ถูกนำมา "ยำใหญ่" ขยำรวมและผสมใหม่ในงานของหลวงวิจิตรวาทการ (และผู้ที่เดินตามรอยต่อมา) ที่ "แทรก" "กรุงธนบุรี" เข้าไปหน่อย เติมอีกนิดว่าด้วยบทบาทของ "ทหารเอก" เช่น "...เจ้าพระยาโกษาเหล็ก ท่านเป็นแม่ทัพชั้นเอกของสมเด็จพระนารายณ์ สีหราชเดโช ผจญสงครามใหญ่โต ต่อตีศัตรูแพ้พ่าย เจ้าคุณพิชัยดาบหัก ก็กล้าหาญยิ่งนัก ล้วนเป็นต้นตระกูลของไทย..." สำหรับหม่องทินอ่อง "ประวัติศาสตร์" คือเรื่องราวของ "จักรวรรดิ" ของ "ชนชั้นนำ" หรือ "ผู้ปกครอง" นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์หรือทหารเอก


และในความเป็น "นักราชาชาตินิยม" และ/หรือ "นักอำมาตยาชาตินิยม" นี้ หม่องทินอ่องก็เป็น "นักชาตินิยมทางไกล" อีกด้วย ความที่ท่านเป็น "นักเรียนนอก" ต้องสัมผัสและสัมพันธ์กับชาวต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "เจ้าอาณานิคมอังกฤษ" ท่านก็ตกอยู่ในสภาพที่ศาสตราจารย์เบนเนดิก แอนเดอร์สัน เรียกว่า "specter of comparisions" หรือ "ปีศาจเปรียบเทียบหลอน"


"ปีศาจเปรียบเทียบหลอน" นี้เป็นสภาวะทางจิตที่ "นักเรียนนอก" จากอาณานิคม (หรือกึ่งอาณานิคมอย่างสยาม/ไทย) ประสบ กล่าวคือชนชั้นนำของอุษาคเนย์ในยุคนั้น (โดยมากเป็นคนหนุ่มอยู่ในวัยเรียน) ไม่ว่าจะเป็นจากพม่า เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ (หรือแม้กระทั่งจากไทย) เมื่อได้ไปเล่าเรียนศึกษาในยุโรป กลายเป็น "นักเรียนนอก" หรือ "มนุษย์พันธุ์ใหม่" ก็เกิด "การเปรียบเทียบ" สภาพของเมืองแม่อาณานิคมกับบ้านเมืองของตนโดยอัตโนมัติ เมืองนอกของฝรั่ง "ที่ได้เห็นมา" เป็น "แดนศิวิไลซ์" แต่ครั้นมองกลับมายังบ้านเมืองของตน ก็ดู "ล้าหลัง ดักดาน"


สิ่งที่ตามมาโดยอัตโนมัติอีกเช่นกัน ก็คือเกิดคำถามประเภทที่ว่า "ทำไมบ้านเมืองของเรา จึงไม่เจริญ ทำไมไม่ก้าวหน้า" และคำตอบที่มักจะได้ก็คือเพราะมี "เจ้านายเหนือหัว-ชนชั้นปกครอง" ของอาณานิคมคอยบงการอยู่ คอยเอารัดเอาเปรียบ หาได้จริงจังหรือจริงใจในการสร้างสรรค์ "ประเทศชาติของเรา" ไม่ และนี่ก็เป็นที่มาของความรู้สึกที่เรียกว่า "ลัทธิชาตินิยม" ที่ด้านหนึ่งเป็นสภาพของจิตใจของการ "แอนตี้" ฝรั่งเจ้าอาณานิคม อีกด้านหนึ่งคือความต้องการที่จะ "ฟื้นฟู" และ/หรือ "สร้างชาติ" ของตนขึ้นมา


เราจะเห็นนักชาตินิยมเช่นนี้ จากประวัติ ผลงาน และความนึกคิดของโฮเซ ริซัล ในฟิลิปปินส์ หรือโฮจิมินห์ในเวียดนาม หรือในกรณีของอองซาน ซูจี ในพม่า หรือในกรณีของซูการ์โนในอินโดนีเซีย (สองท่านหลังนี้ไม่ได้เป็น "นักเรียนนอก" ก็จริง แต่ก็ได้รับการศึกษาจากฝรั่ง มีสัมผัสและสัมพันธ์กับเจ้าอาณานิคมฝรั่ง)


ในขณะที่กรณีของสยาม/ไทย แม้จะไม่ได้เป็นเมืองขึ้นโดยตรงของฝรั่ง แต่สภาพจิตของ "ปีศาจเปรียบเทียบหลอน" ก็เกิดขึ้นในบรรดาเจ้านายสยามรุ่น ร.ศ. ๑๐๓ (ที่ทำคำกราบถวายบังคมต่อรัชกาลที่ ๕ ให้ปฏิรูปการปกครอง) หรือพวกยังเติร์ก "กบฏ ร.ศ. ๑๓๐" (ที่พยายามจะยึดอำนาจจากรัชกาลที่ ๖) และ/หรือ "ผู้ก่อการ" ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ (อย่างเช่นพระยาพหลพลพยุหเสนา ปรีดี พนมยงค์ หรือประยูร ภมรมนตรี ฯลฯ ที่ยึดอำนาจได้สำเร็จจากรัชกาลที่ ๗) เป้าของผู้นำสยามรุ่นสมัยรัชกาลที่ ๖ และ ๗ เหล่านี้ (ที่เกิด "ปีศาจเปรียบเทียบหลอน") หาใช่ฝรั่งเจ้าอาณานิคมจากภายนอกแบบประเทศเพื่อนบ้านไม่ แต่กลับเป็น "ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์" ภายในเองที่ถูกมองว่า "ล้าหลัง ถ่วงความเจริญ" นั่นเอง


ในบั้นปลายของ "ชีวิตและงาน" ว่าไปแล้วหม่องทินอ่องโชคดีมาก ที่หมดวาระการเป็น "อธิการบดี" มหาวิทยาลัยย่างกุ้งในปี ค.ศ. ๑๙๕๘/๒๕๐๑ แล้วก็ได้รางวัล (จากทั้งรัฐบาลพลเรือนและทหาร) ถูกส่งไปเป็นทูตเสียตั้ง ๔-๕ ปี ระหว่างปี ค.ศ. ๑๙๕๙-๖๓/๒๕๐๒-๐๖ ท่านไม่ต้องรู้เห็นหรือเป็นพยานต่อความตกต่ำของรัฐบาลพลเรือนของนายกรัฐมนตรีอูนุ กับการก้าวขึ้นมามีอำนาจของ "ระบบทหารและระบอบนายพลเนวิน" ที่จะมีการปราบปรามนักศึกษาและขบวนการประชาธิปไตยในพม่าอย่างรุนแรงในช่วงทศวรรษ ๑๙๖๐ และจะเป็น "บุญ" หรือเป็น "กรรม" ก็ตาม หม่องทินอ่องก็สิ้นชีวิตไปเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๗๘/๒๕๒๑ หรือ ๑๐ ปีก่อนการลุกฮือ ๘๘๘๘ ของประชาชนและนักศึกษาพม่า ที่ตามมาด้วย "รัฐอาชญากรรม" (state crime) การประหัตประหารทำลายล้างชีวิต และสภาพการเมือง "น้ำเน่านิ่ง" (politics of stagnation) ของพม่าอีกกว่าทศวรรษ


ระบบทหารพม่าไม่เพียงแต่เป็นปัญหาของคนพม่าเองเท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของ "อาเซียน" อีกด้วย



หน้า 146


ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 26 ฉบับที่ 08 มิถุนายน 2548

ไม่มีความคิดเห็น: