วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ฅนค้นความคิด ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล



ฅนค้นความคิด ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล  ร่าย 'สำนึกแห่งศิลปิน'

 

'คนต้นเรื่อง' ในรายการ 'คน ค้น ฅน' โลดแล่นอยู่หน้าจอโทรทัศน์มาร่วมขวบปีแล้ว ต้องยอมรับว่าทุกเรื่องราวชวนติดตาม บ้างน่าทึ่งกับการผ่านพ้นวิกฤติชีวิต บ้างทำเอาน้ำตาไหลด้วยเข้าถึงชีวิตโศกเหล่านั้น

แต่งานสารคดีมักไม่ค่อยมีคนซื้อ การเฟ้นหางานเขียนดีๆ จากทั่วประเทศ จึงเป็นเหตุผลตั้งต้นที่ สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ กรรมการผู้จัดการ ของ บริษัท ทีวีบูรพา จำกัด ทุ่มเทจัดโครงการประกวดงานเขียนสารคดีชีวิตคน รางวัล 'คนค้นฅน' ขึ้น

จากวงเสวนา 'เขียนสารคดีให้ดีได้อย่างไร' ผู้ผ่านการประกวด 25 คน มาพบปะกันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิด จะเรียนรู้ในวงคุยได้น่าสนใจเพียงไหน นำมาเป็นแนวทางสู่การเขียนที่ดีได้อย่างไร ลองอ่านและกอบเก็บความคิดของ ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล นับจากนี้จะได้รับคำตอบ...

"อันดับแรกผมไม่เคยคิดว่าจะเป็นนักเขียนสารคดี และไม่ค่อยใส่ใจเรื่องทฤษฎีที่เขาว่าไว้ ผมไม่มีสูตรสำเร็จ เพียงแต่ sense บางอย่างบอก"

งานเขียนของ ดร.เสกสรรค์ หลายๆ เล่ม มีความแปลกตรงที่ส่วนใหญ่จัดอยู่ในงานสารคดี คือเป็นเรื่องจริง แต่ก็มีความเป็นวรรณกรรมอยู่สูงมากด้วย ทำให้รูปแบบดูแตกต่างและน่าเรียนรู้มากกว่าที่เคยพบเห็น

"กระบวนการเขียนไม่ต้องเป็นไปตามรูปแบบ ว่าต้องขึ้นต้นอย่างนี้ เรื่องตรงกลางอย่างนั้น และปิดท้ายอย่างนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ คุณจะเสนอประเด็นความคิดอะไร เมื่อชัดในตรงนี้ ประเด็นต่อมาคือจะทำอย่างไรให้เกิดผลกระทบทางด้านความคิดต่อผู้อ่าน"

ในเชิงศิลปะแล้ว การสร้างความประทับใจแรกเมื่อตามองเห็นเป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝันให้เกิด อยากให้มีผู้เสพชมอยู่เรื่อยๆ ดร.เสกสรรค์ อธิบายถึงภาษาสะกิดใจในแวบแรกนี้ว่า

"สิ่งที่นักเขียน ต่างจากนักเล่าเรื่อง คือนักเขียนสามารถทำให้เรื่องๆ เดียวกันน่าเบื่อ หรือน่าสนใจก็ได้ ทำอย่างไรจะให้อ่านบรรทัดแรกปุ๊บแล้วรีบอ่านต่อ ถ้าสังเกตงานหลายชิ้นของผมคำขึ้นต้นและคำลงท้ายจึงเหมือนกัน"

โดยหากจะเลือกเอานักเขียนระดับโลกมาเป็นตัวอย่างประกอบสักคน ดร.เสกสรรค์ยกให้ เฮมมิงเวย์ เป็นพระเอก ซึ่งเฮมมิงเวย์เคยกล่าวไว้ว่า Prose Writing หรือการเขียนร้อยแก้ว เป็นงานโครงสร้างไม่ใช่ศิลปะตกแต่งภายใน หมายความว่า โครงสร้างที่จะนำมาดำเนินเรื่องสำคัญกว่าถ้อยคำที่จะไปใช้ข้างใน

"โครงสร้างนั้นต้องวางไว้คร่าวๆ ว่าอะไรมาก่อน อะไรมาทีหลัง อะไรจะขัดแย้งกับอะไร และส่งผลสะเทือนอย่างไร ผมว่ามันถ่ายทอดถึงกันได้หมด

"ส่วนเรื่องถ้อยคำ ผมเองใช้คำง่ายๆ แต่คำง่ายๆ พวกนี้ต้องสะท้อนความคิด ผมเองเคยเขียนในฉากหนึ่งตอนที่ผมไปตกปลาแล้วเจอพายุว่า 'ผมได้สบตากับเอกภพ' นั่นคือการบรรยายว่าเมื่อแสงพระอาทิตย์กระทบม่านฝนนั้นสวยงามมาก เหมือนได้เห็นแววตาจักรวาล"

ดร.เสกสรรค์ เสริมว่า เฮมมิ่งเวย์มักใช้เทคนิคที่เรียกว่า 'สะเทือนใจคนโดยไม่ฟูมฟาย' เช่นในเรื่อง The Old Man and the Sea หรือ เฒ่าผจญทะเล ที่มีโครงสร้างหลักอยู่ที่ชะตากรรมของเฒ่าซานติเอโก วัย 87 ปี มีจุดเด่นอยู่ที่การเพียรตั้งหน้าตั้งตาต่อสู้กับปลามาลินยักษ์ แต่แล้วกลับโดนฉลามกินเหลือเพียงซากเมื่อถึงฝั่ง จนผู้พบเห็นกล่าวเสียดสี ไม่ไยดีในความยากลำบากที่เพิ่งผ่านไปของเขา

"เฮมมิงเวย์ถนัดที่จะเอาชีวิตจริงมา contrast กัน และไม่ต้องพูดอะไรที่มันเว่อร์ แต่คนอ่านในฐานะที่มี Bird Eyes View หรือ God Eyes มองลงมา ก็จะรู้ว่าชีวิตมันโหดร้าย คือมีแต่การพูดเล่น ไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่ชายเฒ่าคนนี้กระทำ

"ผลกระทบในงานเขียนลักษณะนี้ หากใช้มากเกินไปอาจจะละเมิดคุณธรรมของการเขียนสารคดี ข้อสำคัญคืออย่าแต่งเรื่องขึ้นนั่นเอง"

อย่างงานของ ดร.เสกสรรค์ ก็เช่นกัน คือถ้าจะบอกว่า เขาขัดแย้งในตัวเอง กลับถูกแทนด้วยการบรรยายบรรยากาศ ฉาก และไม่ได้เพิ่มเติมจนพ้นไปจากข้อเท็จจริง

"นี่สิ่งที่คนเป็นนักเขียนต้องมี คือมีสำนึกของการเป็นศิลปิน เพราะฉะนั้นอันดับแรก เมื่อศิลปินหลีกเลี่ยงความน่าเบื่อหน่ายได้แล้ว อันดับต่อมา จะต้องทิ้งพื้นที่ให้ผู้เสพงานติดตามงานของเรา โดยไม่ต้องแสดงตรงๆ หรือยัดเยียดตรงๆ"

การบอกเล่าผ่านตัวหนังสือโดยทางอ้อม จึงเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง เช่นหากจะกล่าวถึงนิสัยของตัวละครสักคนในเรื่อง ผู้อ่านย่อมไม่ต้องการรู้ทั้งหมดที่เป็นตัวคนคนนั้น แต่ต้องการรู้เพียงส่วนที่เกี่ยวกับประเด็นของเรื่อง

ดร.เสกสรรค์ เน้นย้ำไปที่ 'คน' ในงานสารคดี ซึ่งแม้จะมีหลายมิติ แต่หากจะเลือกสักด้านหนึ่ง เช่น เรื่องความเมตตา ก็ต้องโฟกัสตรงนั้น ข้อมูลเรื่องเขาเป็นโรคน้ำกัดเท้าก็ไม่เกี่ยวกัน อย่างนี้เป็นต้น หรือถ้าจะพูดเรื่องความรัก คุณก็ต้องดูว่าข้อมูลตรงไหนที่เกี่ยวข้องกับความรัก อาจเขียนว่าชายผู้นี้หรือหญิงผู้นี้ มีความเมตตาต่อชีวิตสัตว์เล็กๆ อย่างมากมาย จนนำไปสู่ความรักที่สูงส่งก็ได้

"บางเรื่องเรามีรายละเอียดเข้ามาได้ พอให้สมน้ำสมเนื้อและพองดงาม แต่อย่าเต็มไปด้วยรายละเอียดที่ไร้หน้าที่ หรือบางคนอาจจะติดคำและเสียดายข้อมูล ถามว่าถ้าเขียนไม่ครบเป็นการบิดเบือนไหม ไม่ใช่ คือเราทำงานในเวลาและพื้นที่ที่จำกัด"

ดังนั้น สิ่งที่ไม่จำเป็นกับเรื่องจึงไม่ต้องเอามาใส่ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์สอดคล้องในงานเขียน ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องอย่างไม่เยิ่นเย้อ

จะเห็นว่า คนทำงานสารคดีต้องค้นคว้าข้อมูลอย่างหนัก ซึ่งตรงนี้ถือเป็นความยาก และหากถามถึงแง่ศิลปะการเขียนว่า ทำไปมากขนาดนี้เพื่อสนองความต้องการของใคร?

ดร.เสกสรรค์ให้คำตอบชัดว่า "สำหรับผมไม่เอาใจใคร"

"ผมเชื่อว่าการเขียนขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ แต่การเรียนรู้และศึกษาเพิ่มเติมบนพื้นฐานที่มีพรสวรรค์อยู่แล้ว จะช่วยให้พัฒนามากขึ้น คือต้องมีอะไรในตัวอยู่ก่อน จากนั้นสิ่งที่ผ่านมาจึงจะเป็นประโยชน์ สิ่งที่ผมพูดจึงจะเป็นประโยชน์"

จบงาน หลายคนในห้องประชุมอาจต้องกลับไปปลีกวิเวกสร้างงานของตัวเองตามข้อแนะนำ

ที่ยิ่งไปกว่านั้น ความคิดของ 'คนต้นเรื่อง' บนเวทีเสวนา คงเป็นโซ่ห่วงแรกของข้อมูลที่จะผูกร้อยไปสู่การทำงานเชิงศิลปะในครั้งต่อไปอย่างง่ายงาม


ฅนค้นความคิด
ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

ร่าย 'สำนึกแห่งศิลปิน'


(www.bkknews.com/weekend/20041202/wec02.shtml)

 

ไม่มีความคิดเห็น: