วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551

รัฐปัตตานี บาดแผลที่ไม่เคยถูกเอ่ยถึง

สัมภาษณ์พิเศษ: มุมมองนักประวัติศาสตร์ "ชาญวิทย์ เกษตรศิริ" รัฐปัตตานี บาดแผลที่ไม่เคยถูกเอ่ยถึง

เหตุการณ์ ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นับตั้งแต่การปล้นปืน เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 ที่ค่ายกองพันทหารพัฒนา อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ตามด้วยเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2547 ที่มีผู้เสียชีวิต 108 ศพ ล่าสุดคือเหตุการณ์สลายการชุมนุม หน้า สภ.อ.ตากใบ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2547 ทำให้มีผู้เสียชีวิตอีก 84 คน !

แม้ ในระดับนโยบายจะพยายามหาทางออกของปัญหา ด้วยการเปลี่ยนหัวแม่ทัพผ่านการปรับคณะรัฐมนตรี รวมถึงการปรับกลยุทธ์ในการแก้ปัญหา ด้วยการผนึกแนวร่วมจากทุกฝ่าย แต่จนถึงทุกวันนี้ปัญหากลับไม่คลี่คลาย

มีการวิเคราะห์ถึงต้นเหตุของ ไฟใต้ ไปต่างๆนานาที่ว่า มาจากการลงขันของกลุ่มธุรกิจผิดกฎหมายที่เสียประโยชน์ อีกด้านมองว่ามาจากกลุ่มก่อการร้ายข้ามประเทศ ที่น่าสนใจคือ มักมีข้อกล่าวหาเรื่องการแบ่งแยกดินแดนอยู่เสมอ และส่วนหนึ่งของวิธีแก้ปัญหาคือการมองไปที่อดีต รากเหง้าของปัญหา

"ชาญวิทย์ เกษตรศิริ" เลขานุการมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ได้วิเคราะห์ถึงปมทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการแบ่งแยกดินแดนเพื่อตั้งรัฐ ปัตตานีไว้อย่างน่าสนใจ ในอีกมุมมืดของประวัติศาสตร์ที่มักไม่มีใครเอ่ยถึง

" การปกครองที่ขาดความเข้าใจวัฒนธรรม ประเพณี เชื้อชาติ ภาษาของปัตตานี รวมทั้ง 3 จังหวัดในภาคใต้ ทำให้ปัญหามีมากขึ้น ทั้งที่ปัญหาเก่าที่เคยเป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์อยู่แล้ว มาเป็นปัญหาแบบข้าราชการไม่ดี ปัญหาการคอร์รัปชั่น การทอดทิ้งดินแดนเหล่านี้จนกลายเป็นปัญหาที่หมักหมม"

ในอดีตรัฐ ปัตตานี เคยเป็นอาณาจักรโบราณที่มีความเจริญอย่างมาก ในช่วงตอนต้นของสมัยอยุธยา โดยปกครองแบบรัฐสุลต่าน และถือเป็นเมืองท่าที่สำคัญโดยเฉพาะชายฝั่งทะเลตะวันออกของแหลมทอง และเป็นคู่แข่งสำคัญของนครศรีธรรมราช ทำให้อยุธยาหรือแม้แต่รัตนโกสินทร์ที่คุมนครศรีธรรมราชเป็นเมืองเอก กลายมาเป็นคู่แข่งของรัฐปัตตานี

ในแง่ของกลุ่มเชื้อสายมลายู มุสลิมที่นับถืออิสลาม ศูนย์กลางที่สำคัญคือเมืองมะละกา ในฝั่งมหาสมุทรอินเดีย และอีกด้านคือปัตตานี ในฝั่งอ่าวไทยและทะเลจีนใต้ ซึ่งในอดีตอยุธยาได้พยายามแผ่อำนาจคุมปัตตานี และมะละกาให้ยอมรับอำนาจผ่านการเป็นเมืองประเทศราช ซึ่งกรณีของปัตตานี อยุธยาทำได้สำเร็จในระดับหนึ่ง คือ ปัตตานียอมรับความมีอำนาจที่เหนือกว่าของอยุธยา แต่บางครั้งก็ก่อการปฏิวัติต่อสู้เป็นบางครั้งในประวัติศาสตร์

ส่วน มะละกาสามารถหลุดออกไปได้ เนื่องจากมะละกาได้รับความสนับสนุนจากจีน ในสมัยราชวงศ์หมิง มะละกาจึงเป็นอาณาจักรที่ปลอดอำนาจจากสยาม จนกระทั่งโปตุเกสมายึดทีหลัง

ขณะที่ปัตตานี ก็ดำรงตนบางครั้งเป็นอิสระ บางครั้งก็ยอมรับว่าตัวเองคือประเทศราชย์ของอยุธยา ดังนั้น เมื่อมาถึงสมัยธนบุรี และรัตนโกสินทร์ ราชวงศ์ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์พระเจ้าตากสิน หรือราชวงศ์จักรีก็อ้างอำนาจอธิปไตยที่เหนือกว่าปัตตานีและรัฐมลายู ไม่ว่าจะเป็นไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู และะปะริส เพื่อให้ยอมรับในเงื่อนไขของการเป็นประเทศราชย์โดยการส่งดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง หรือที่เรียกว่า "บุหงามาศ" มาเป็นเครื่องบรรณาการ

ใน ลักษณะยอมรับแบบรัฐประเทศราชย์ ที่มีผู้ปกครองของตัวเอง มีสุลต่าน มีกฎหมายและศาสนาของตัวเอง โดยเมืองหลวงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้านกิจการภายใน เว้นแต่เรื่องการต่างประเทศ โดยมีการส่งส่วยเป็นครั้งคราว

แต่พอถึง ช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ คือการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่เรียกว่าเทศาภิบาล และมณฑล ประเด็นหลักคือการยกเลิกอิสระในการปกครองท้องถิ่นของตัวเอง ยกเลิกบรรดาเจ้าเมืองประเทศราชย์ทั้งหลาย คือเดิมเจ้าปัตตานีก็มีสุลต่าน แต่เราได้ยกเลิก แล้วรวมอำนาจที่ศูนย์กลาง โดยผู้ปกครองต้องตั้งมาจากมหาดไทย โดยสุลต่านปัตตานีถูกจับไปกักขังที่ จ.พิษณุโลก

"ในแง่ของประวัติศาสตร์จึงเรียกได้ว่ามันมีบาดแผลทาง ประวัติศาสตร์ที่ฝังอยู่ เพราะการปฏิรูปการปกครองแบบรัฐเดียว ทำให้เกิดการกระทบกับผู้นำท้องถิ่น ในช่วงดังกล่าวจึงเกิดเหตุการณ์หนึ่งที่เรียกว่า กบฏ ร.ศ.121 ซึ่งจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน 3 จุด คือ ขบถเงี้ยวเมืองแพร่ ขบถผู้มีบุญในภาคอีสาน และขบถพญาแขก 7 หัวเมือง ในปี 2445

ผลของการ ปฏิรูปและการจัดการปกครองแบบเทศาภิบาล ที่ไปกระทบต่ออำนาจเก่าของผู้นำท้องถิ่นที่เป็นเจ้า และสุลต่าน จนทำให้เกิดการรุกฮือขึ้นมาต่อต้านกรุงเทพฯ และมหาดไทย รัฐปัตตานีที่เคยยิ่งใหญ่กลับถูกลดบทบาทเหลือเพียงจังหวัดเล็กๆ เท่านั้น"

มา ถึงสมัยใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ผ่านข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ทหาร และตำรวจ ผมคิดว่าเป็นการปกครองที่ขาดความเข้าใจวัฒนธรรม ประเพณี เชื้อชาติ ภาษาของปัตตานี รวมทั้ง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้ปัญหามีมากขึ้น ทั้งที่ปัญหาเก่าที่เคยเป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์อยู่แล้ว กลับเพิ่มปัญหาที่ข้าราชการไม่ดี ปัญหาการคอร์รัปชั่น การทอดทิ้งดินแดนเหล่านี้จนกลายเป็นปัญหาหมักหมม

แม้ว่าก่อนหน้านี้ จะมีการพยายามเสนอหนทางแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่สำคัญ คือ ข้อเสนอของฮายีสุหลง ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเสนอให้ใช้นโยบายประนีประนอมและมองให้เห็นถึงศาสนา ความเชื่อ วัฒนธรรมท้องถิ่น โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม แต่ทันทีที่เขาเสนอ เรากลับมองว่าเป็นการแบ่งแยกดินแดน ทั้งที่เราเป็นผู้เอาตราปีศาจแบ่งแยกดินแดนให้กับคนเหล่านั้น แต่รัฐบาลกลุ่มของ "ปรีดี พนมยงค์" ก็ร่วมเสนอในเรื่องดังกล่าว

แต่ พอมีการรัฐประหารในปี พ.ศ.2490 ที่ฝ่ายทหารของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม จอมพลผิน ชุณหะวัณ กลับมายึดอำนาจ ก็เปลี่ยนนโยบายการประนีประนอมในการปกครอง 3 จังหวัดภาคใต้ กลับมาใช้นโยบายสายเหยี่ยว คือเน้นความรุนแรง แทนที่จะใช้สายพิราบ แล้วฮายูสุหลงก็ถูกอุ้ม ทำให้การหาทางออกอย่างสันติไม่บังเกิดขึ้น ปัญหาจึงคาราคาซังมาจนถึงปัจจุบัน
ปัญหาที่มาจากอดีตทาง ประวัติศาสตร์ ปัญหาที่ผู้ปกครองจากกรุงเทพฯ ขาดความเข้าใจ ขาดการปฏิบัติอย่างประนีประนอมกับคนที่มีความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมประเพณี ที่สุดแล้วคนเหล่านี้ที่ไม่ได้รับการปฏิบัติที่เป็นธรรมจากส่วนกลาง จึงคิดว่าขบวนการการแบ่งแยกดินแดนหรือการปลดแอกตัวเองก็มีขึ้นมาใหม่

ทั้ง ที่ข้อหาเรื่องการแบ่งแยกดินแดนมันเริ่มด้วยการที่รัฐบาลในสมัยจอมพล ป. เป็นผู้ยัดเยียดให้กับเขา แต่ตอนหลังมันชักกลายมาเป็นความจริงขึ้นมา คือเราเป็นผู้ไปสร้างปีศาจแบ่งแยกดินแดน แล้วปีศาจตัวนี้ก็กลับมาหลอนแล้ว นั่นคือสถานการณ์ในขณะนี้

กรณีของมัสยิดกรือเซะ การสลายการชุมนุมที่ตากใบ ความร้ายแรงมันไปไกลจนน่ากลัว เพราะยิ่งเป็นการเสริมและตอกย้ำว่าคนเหล่านี้ไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีจาก ส่วนกลาง ก็สามารถใช้เป็นข้ออ้างในการแบ่งแยกดินแดนได้

และถือเป็น เหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลดใจอย่างมาก การจัดการกับการชุมนุมในลักษณะแบบนี้ เป็นการสร้างปัญหาให้กับรัฐบาลเอง คือมันจะบูมมาแรง เพราะปัญหาไม่ใช่ปิดประตูตีแมวแล้วแมวตายไป แต่วันนี้แมวมันมีพวกอยู่ที่อาเซียนอีกจำนวนมาก ในกลุ่มประเทศมุสลิมที่มีอิทธิพล อย่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย และบรูไน จึงถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก บวกกับสถานการณ์โลกเรื่องการก่อการร้าย ทำให้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ใช่ปัญหาโดดๆ เฉพาะในปัญหานี้จึงไม่ใช่ปัญหาภายในประเทศอีกต่อไป

การแก้ไขปัญหาจึงต้องมองด้วยสายตาใหม่ วิธีการแบบสายเหยี่ยว ก็เป็นการพิสูจน์แล้วว่าตาต่อตา ฟันต่อฟัน มันไม่ได้ผล

หาก เรานำอดีตมาเป็นบทเรียน รวมถึงข้อเสนอของฮายีสุหลง ข้อเสนอของ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รองนายรัฐมนตรี ที่เสนอแล้วนำไปเข้าหิ้งมาศึกษาใหม่ และข้อเสนอของนักวิชาการที่เข้าพบนายกรัฐมนตรี ทั้งหมดต้องนำมาพิจารณาอย่างจริงจัง ไม่ใช่นำมาดูแล้วผ่านเลยไป

สำหรับแนวคิดการตั้งเขตปกครองพิเศษใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น "ชาญวิทย์" มองว่า "วันนี้เราต้องหันมาพิจารณาในประเด็นนี้แล้ว ว่าสิ่งที่เรียกว่าประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองคืออะไร ต้องเริ่มต้นด้วยการไม่ตีตราว่าเป็นการแบ่งแยกดินแดน เพราะทันทีที่ตีตรา มันเจรจาไม่ได้แล้ว ต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ว่ารูปแบบการปกครองที่ประชาชนมีส่วนร่วมจะออกมาใน ลักษณะใด แบบเขตปกครองพิเศษของกรุงเทพมหานคร หรือเขตปกครองตนเองของสาธารณรัฐประชาชนจีน

หรือการกลับสู่ในอดีต ก่อนที่จะมีการปฏิรูปแบบมณฑลเทศาภิบาล ในเรื่องรัฐประเทศราชที่ยอมรับในเรื่องศาสนา เชื้อชาติ ภาษา ทั้งหมดควรนำมาศึกษา

ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ยุ่งยาก และซับซ้อนแต่ก็ต้องทำ"


ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์,วันที่ 03 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ปีที่ 25 ฉบับที่ 1268

ไม่มีความคิดเห็น: