

ณ ปีที่ 30 หลัง 2519 - 6 ตุลา ยังคงเป็นหนามยอกอกของสังคมไทย?
ศ.ดร. ธงชัย วินิจจะกูล
นับจากปี 2519 จนถึงขณะนี้ 2549 ความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 มีความเปลี่ยนแปลงเรื่อยมา
นับจากปี 2519 จนถึงขณะนี้ 2549 ความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 มีความเปลี่ยนแปลงเรื่อยมา โดยพอแบ่งเป็นระยะโดยสรุปได้ดังนี้
ระยะที่หนึ่ง 2519 จนถึงประมาณ 2521 - 2524
หลังเหตุการณ์ใหม่ๆ ฝ่ายปราบปรามยินดีใน "ความสำเร็จ" ที่สามารถหยุดยั้งการแพร่ขยายของฝ่ายคอมมิวนิสต์ในเมืองได้ ในทางตรงกันข้าม ผู้ถูกปราบปรามถือว่า การล้อมสังหารโหดเหี้ยมเมื่อ 6 ตุลาเป็นหลักฐานยืนยันว่า แนวทางปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์ถูกต้อง จึงเข้าสมทบขบวนการปฏิวัติเป็นจำนวนมาก ในเวลาเดียวกัน มีผู้เห็นใจฝ่ายถูกปราบปรามจำนวนมาก เพราะมิได้ถือว่านักศึกษาหรือฝ่ายซ้ายเป็นศัตรูของชาติ สภาวการณ์ทางการเมืองเช่นนี้เองที่นำไปสู่การนิรโทษกรรมในปี 2521 ให้แก่กรณี 6 ตุลา และการพลิกกลับนโยบายต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์ดังปรากฏ เป็นนโยบาย 66/2523 ประกอบกับความขัดแย้งภายในพรรคคอมมิวนิสต์และ "วิกฤตศรัทธา" ผู้ถูกปราบปรามเมื่อ 6 ตุลา จึงทยอยออกจากป่ากลับคืนเมืองในปี 2523 - 2524 6 ตุลาที่น่ายินดีและ 6 ตุลาที่น่าโกรธแค้นหลังเหตุการณ์ใหม่ๆจึงเปลี่ยนไป
ระยะที่สอง ประมาณ 2521 - 2524 จนถึง 2539
การนิรโทษกรรมปี 2521 และการกลับคืนเมืองช่วงปี 2523 - 2524 ของบรรดาผู้ถูกปราบปรามจาก 6 ตุลา มาพร้อมกับวาทกรรม "หันหน้าเข้าหากัน" เพื่อ "ร่วมพัฒนาชาติไทย" เงื่อนไขสำคัญอย่างหนึ่งของกระแสความคิดนี้คือ การเดินไปข้างหน้าโดยอย่ารื้อฟื้นอดีตที่จะตอกย้ำความเจ็บปวดหรืออาจก่อให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกอีก ในระยะนี้ เสียงที่ถือว่า 6 ตุลาเป็นความสำเร็จอันน่ายินดีนั้นไม่ปรากฏอีกต่อไป 6 ตุลากลับกลายเป็นรอยด่างทางการเมืองของผู้เกี่ยวข้องกับฝ่ายปราบปราม จนพวกเขาต้องบอกปัดตีตัวออกห่างเป็นพัลวัน แต่ฝ่ายถูกปราบปรามที่บอบช้ำจากวิกฤติศรัทธาในขบวนปฏิวัติ ก็ปรารถนาจะเดินหน้าออกจากอดีตที่เจ็บปวดแต่ไร้อนาคตเช่นกัน 6 ตุลากลายเป็นความสูญเสียที่ไม่นำไปสู่อะไรที่ดีขึ้นสักนิด
แต่ยังคงเป็นความเจ็บปวดในชีวิตของคนหลายพันที่ต้องเริ่มสร้างกันใหม่หลังป่าแตก แม้จะมีการรำลึก 6 ตุลา ก็เป็นไปในแวดวงแคบๆ เป็นครั้งคราว ความเปลี่ยนแปลงสำคัญอีกอย่างที่พึงสังเกตก็คือ วาทกรรมที่เป็นตัวแทน (representation) ของความเจ็บปวดสูญเสียเมื่อ 6 ตุลา เคลื่อนจากนักศึกษาฝ่ายซ้ายที่ถูกปราบปราม ไปสู่ อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ความทรงจำ 6 ตุลาในฝ่ายผู้ถูกกระทำจึงเคลื่อนและปรับตัวไปตามวาทกรรมที่เป็นตัวแทนของความทรงจำด้วย และย่อมส่งผลต่อความทรงจำในระยะถัดไป
นี่คือสภาวะที่ 6 ตุลาอยู่ในความเงียบ ในสังคมที่อึดอัดลำบากใจ กระอักกระอ่วน ไม่ต้องการเผชิญหน้ากับอดีต
ระยะที่สาม 2539 - ?? (2549?)
ปีที่ 20 หลังเหตุการณ์ นับเป็นการรำลึกครั้งสำคัญที่มีผลต่อสถานะของความทรงจำ 6 ตุลา เพราะเป็นการทะลุทะลวงความเงียบที่น่าอึดอัดของระยะที่สอง สร้างพื้นที่แก่ความทรงจำ 6 ตุลาของฝ่ายถูกปราบปรามให้เป็นที่รับรู้หรือถึงขนาดเป็นที่ยอมรับแก่สาธารณชน เสียงของฝ่ายปราบปรามกลับถูกกลบจนเงียบสนิท แต่การทะลุทะลวงหรือเปิดพื้นที่ดังกล่าว ยังคงอยู่ภายใต้ข้อจำกัดมากมาย หากกล่าวอย่างสรุปรวบยอดแต่พอเข้าใจคือ ความทรงจำต่อ 6 ตุลาผ่านวาทกรรมที่เป็นตัวแทนอย่างกรณีอาจารย์ป๋วยสามารถกระทำได้ และกลายเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางทั่วไป
แต่ความพยายามใดๆที่จะอธิบายมากไปกว่านั้น หรือเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างตรงไปตรงมาที่สุด ยังคงกระทำไม่ได้ ยังต้องมีการ "เซ็นเซอร์ตัวเอง" อย่างระมัดระวังเสมอ ความหมายของ 6 ตุลาที่ความทรงจำดังกล่าวสร้างขึ้น จึงถูกจำกัดไปด้วยเช่นกัน การรำลึก 6 ตุลานับจากปี 2539 เป็นต้นมา ยังคงอยู่ภายใต้กรอบเช่นนี้และพื้นที่จำกัดเช่นนี้
นี่คือสภาวะที่พ้นจากความเงียบงัน กลายมาเป็นที่ยอมรับกันว่า "ลืมไม่ได้" แต่กลับยังไม่พ้นความกระอักกระอ่วน อิหลักอิเหลื่อ พยายามหลบเลี่ยง กลบเกลื่อน ไม่กล้าเผชิญหน้ากับอดีต ยังคงมีขีดจำกัดมากมายในการแสวงหาความจริงและในการสร้างความหมายให้แก่อดีต นั่นคือ 6 ตุลายังคงเป็นอดีตที่ "จำไม่ลง" หรือจำได้ไม่ถนัดอยู่ดี
ทำไมความทรงจำ 6 ตุลาจึงคลุมเครืออิหลักอิเหลื่อสำหรับสังคมไทย?
ผู้เขียนเคยอธิบายไว้แล้วในที่อื่น ในที่นี้จึงขอสรุปย่อๆดังนี้
ประการแรก เพราะมีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ 6 ตุลาที่พูดไม่ได้อีกมาก อาทิเช่น ใครเกี่ยวข้องบ้าง เกี่ยวข้องอย่างไร ผู้ใหญ่ที่สังคมไทยให้ความเคารพอย่างสูงหลายคนอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง มิได้มือสะอาดอย่างที่คิด บางคนกล้าอวดอ้างคุณูปการของตนในเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 และพฤษภา 2535 แต่กลับไม่เอ่ยถึงบทบาทของตนในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 แม้แต่คำเดียว ด้วยเหตุนี้ จึงมีความหวั่นเกรงกันว่า การเผชิญหน้ากับอดีตอย่าง 6 ตุลา อย่างตรงไปตรงมาอาจส่งผลสะเทือนก่อวิกฤติศรัทธาแก่ทั้งสังคมอย่างมหาศาล
ประการที่สอง เพราะทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในโศกนาฏกรรมคราวนั้นพ่ายแพ้หมด พกความเจ็บปวดสูญเสียไปในแง่มุมต่างๆกัน จำนวนไม่น้อยรู้สึกผิด ละอายใจที่มีส่วนกระทำในสิ่งที่ไม่ควรกระทำอันนำไปสู่ความสูญเสียครั้งใหญ่ หรือมิได้กระทำในสิ่งที่น่าจะทำเพื่อหลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรมคราวนั้น
ประการที่สาม เพราะ 6 ตุลา เผยให้เห็นความอัปลักษณ์ของสังคมไทยในหลายด้านอย่างถึงราก ที่สำคัญคือ ความอัปลักษณ์ของสถาบันและค่านิยมที่สังคมไทยเชื่อฝังหัวกันมาตลอดว่าเป็นคุณสมบัติที่ดีพิเศษของสังคมไทย แต่ทว่าสังคมไทยไม่นิยมการเผชิญหน้ากับความจริงที่อัปลักษณ์ของตนเอง เพราะมักถือกันว่าความอัปลักษณ์คือภาวะผิดปกติ เบี่ยงเบนชั่วครั้งคราว เชื่อว่าหากปล่อยผ่านไป ความอัปลักษณ์ดังกล่าวก็จะหายไปเองและกลับคืนสู่ภาวะปกติที่ดีงาม สังคมไทยจึงนิยมที่จะทิ้งปัญหาความอัปลักษณ์ไว้เบื้องหลังโดยไม่ต้องเผชิญหน้า 6 ตุลาจึงถูกบ่ายเบี่ยง กลบเกลื่อน ถูกมองข้ามไป ด้วยหวังว่าสังคมจะดำเนินต่อไป "ตามปกติ" ได้อย่างดี
เหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 จึงยังคงเป็นความทรงจำที่น่ากระอักกระอ่วน เพราะมีคำถามอีกมากมายที่ไม่อยากตอบ ไม่กล้าตอบ เพราะเกรงว่าคำตอบอาจนำไปสู่ความปวดเศียรเวียนเกล้ามากขึ้นไปอีก
6 ตุลา จึงอยู่ในสถานะที่ "ลืมไม่ได้ จำไม่ลง" หมายความว่า สังคมไทยรู้อยู่เต็มอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กลับไม่กล้าหาความกระจ่าง ไม่ยอมให้มีการสร้างความรู้ที่ตรงไปตรงมาหรือสร้างความหมายโดยไม่มีขีดจำกัด
แต่สถานะที่ถูกจำกัดไม่ยอมรับเช่นนี้ อาจมิใช่ความตกต่ำอ่อนเปลี้ยเสมอไป ในสังคมที่นิยมการหลอกตัวเอง ไม่ยอมเผชิญหน้ากับด้านอัปลักษณ์ของตนเอง ความทรงจำดังกล่าวอาจกลับมีพลังอย่างมากในฐานะเป็น "หนามยอกอก" ที่สังคมนั้นไม่สามารถกำจัดให้พ้นทางไปได้ง่ายๆ
พลังของความทรงจำ 6 ตุลา อยู่ตรงความคลุมเครือที่เป็น "หนามยอกอก" ต่อสังคมไทย (หนามยอกอก - สำนวน - คนหรือเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกเหมือนมีอะไรมาทิ่มแทงอยู่ในอกตลอดเวลา - พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน, 2525. , หนามยอกอก - โวหาร - เรื่องที่ทิ่มแทงความรู้สึก ปัญหาที่ยังค้างคาใจอยู่ และมีผลกระทบต่อเรื่องอื่นๆ เสมอ - พจนานุกรมฉบับมติชน, 2547.)
ณ ปีที่ 30 หลัง 2519
ปี 2549 อาจมีผลสำคัญต่อความทรงจำ 6 ตุลา เพราะมีปัจจัยที่ส่อเค้าว่า ความทรงจำ 6 ตุลา อาจไม่มีทางขยายพื้นที่ไปได้มากกว่านี้ ความหมายที่เป็นไปได้อาจจะไม่มีโอกาสโผล่ตัวขึ้นในสังคมไปมากกว่านี้ และในทางกลับกัน อาจจะถูกจำกัดหรือถูกลืมเลือนมากยิ่งกว่า 10 ปีที่ผ่านมา
ปัจจัยที่ว่ามีอยู่ 2 ประการได้แก่
ปัจจัยแรก คือ การตอกย้ำอุดมการณ์หลักของสังคมไทยอย่างเข้มข้นยิ่งกว่าครั้งใดๆ ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา
(นับจากหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519)
ปัจจัยที่สอง เกี่ยวข้องกับวิกฤติทางการเมืองในปี 2549 กล่าวคือ พลังของ "ภาคประชาชน" ซึ่งเคยมีบทบาทช่วยผลักดันให้เกิดการเปิดพื้นที่แก่ความทรงจำ 6 ตุลา แต่ท่ามกลางความวิกฤติคราวนี้ พลังดังกล่าวกลับมีส่วนเสริมสร้างความเข้มข้นแก่อุดมการณ์หลักของสังคมไทย ถึงขนาดอาศัยอิงแอบอุดมการณ์นี้เป็นจุดยืนทางการเมืองของตนเพื่อต่อสู้กับรัฐบาล (ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นภัยต่ออุดมการณ์ดังกล่าว) จุดยืนทางการเมืองเช่นนี้ย่อมมีผลช่วยเสริมสร้างปัจจัยแรกอย่างแน่นอน ผลอีกประการหนึ่งก็คือ ในเมื่อพลังของภาคประชาชนกลายเป็นผู้ค้ำจุนเชิดชูอุดมการณ์หลักนั้นเสียเอง จึงยากที่จะกระทำการใดๆ ในอนาคตที่จะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์หรือตั้งคำถามต่ออุดมการณ์หลักนั้นอีกเพราะ ย่อมเป็นการบ่อนทำลายพลังของตนเอง เช่นนี้แล้วจึงยากที่ความทรงจำ 6 ตุลาจะมีความหมายที่แหลมคมขึ้นหรือขยายพื้นที่ทางสังคมอย่างหนามยอกอก แต่กลับเป็นไปได้ที่จะยิ่งถูกจำกัดให้ลดความแหลมคมลง ลดความเป็นหนามยอกอกของสังคมลงไป ยอมสยบอยู่ภายใต้ขีดจำกัดที่เป็นอยู่หรือยิ่งกว่าเก่า
หากเป็นเช่นนั้นจริง เราคงไม่เห็นอะไรคืบหน้าไปกว่า 10 ปีที่ผ่านมา แต่เราอาจเห็นความทรงจำนี้ถูกกำราบจนหมดพลัง กลายเป็นอดีตที่มีความหมายจำกัดที่พอรับกันได้ หรือลืมเลือนไปตามกาลเวลา
แต่หากเราต้องการต่อสู้มิให้ 6 ตุลากลายเป็นอดีตที่ไร้พลัง ไร้ความหมายที่จะท้าทายต่อสังคม หรือถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา สิ่งที่ควรกระทำในปัจจุบันคืออะไร?
ผู้เขียนเห็นว่าน่าจะเป็นการตอกย้ำ ส่งเสริมความเป็น "หนามยอกอก" ต่อสังคมไทยให้หนักหน่วงยิ่งขึ้น เอา 6 ตุลาไปตั้งคำถามกับสังคมไทยมากขึ้น รบกวนท้าทายค่านิยมหลอกตัวเองและเพิกเฉยต่อด้านอัปลักษณ์ของสังคมให้มากขึ้น เปิดคำถามต่ออุดมการณ์หลักของสังคมไทยเท่าที่จะทำได้
ลำพังงานรำลึกที่กระทำกันทุกปี ซึ่งถูกค่อนแคะว่าเป็นงานรวมญาติมิตรหน้าเก่าๆ แบบ "เช็งเม้ง" ผู้เขียนไม่เห็นว่าจะเสียหายตรงไหน ทั้งมีข้อดีอยู่พอควรด้วยซ้ำไป แต่ทว่าไม่มีผลหรือพลังเพียงพอเลยแก่การเสริมสร้างพลัง "หนามยอกอก" ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นต่ออนาคต
คำถามที่สำคัญ ณ ปีที่ 30 หลัง 6 ตุลา 2519 จึงอยู่ที่ว่า กิจกรรมอะไร และจะทำอย่างไรจึงจะสืบทอดความทรงจำ 6 ตุลา ที่เป็นหนามยอกอกของสังคมไทยต่อไป?
ที่มา : เว็บไซต์ biolawcom.de ,20 oct 05
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น