โดย วัชรินทร์ ยงศิริ นักวิจัยประจำสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คำนำ
เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2551 เวลาประมาณ 14.25 น. ทหารไทยและทหารกัมพูชาได้ปะทะกันที่ภูมะเขือ จุดพรมแดนในพื้นที่ทับซ้อน ห่างจากตัวปราสาทพระวิหารไปทางทิศตะวันตกประมาณ
คำถามได้เกิดขึ้นมากมายว่าทำไมกัมพูชาจึงกลับตาลปัตรหันมาใช้กำลังกับไทย ทั้งๆ ที่ได้มีความพยายามของทั้งสองฝ่ายในการเปิดเจรจาแก้ไขปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธีไปหลายรอบแล้ว
ผู้เขียนตั้งใจนำเสนอบทความนี้ขึ้นมา โดยขอเขียนจากมุมมองของกัมพูชาว่าคิดอย่างไรเหตุใดกัมพูชาจึงกล้าเปิดศึกเผชิญหน้ากับไทย ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีศักยภาพเหนือกว่าทางทหาร และเศรษฐกิจ ทั้งนี้จะขอเสนอเป็นลำดับไป
มุมมองของกัมพูชาต่อพื้นที่ทับซ้อน
ดินแดนกัมพูชาที่นายกรัฐมนตรีฮุน เซน กล่าวอ้างและยื่นคำขาดให้ทหารไทยถอนกำลังออกไปนั้น หมายถึงพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งในทรรศนะของกัมพูชาแล้วไม่มีพื้นที่ทับซ้อนพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรตรงนั้นอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชาตามแผนที่สยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1907 ที่กัมพูชายึดถือมาตลอด
ส่วนฝ่ายไทยพูดถึงตลอดเวลาในการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งบนพรมแดนนั้น คือ พื้นที่ทับซ้อนที่เกิดจากการถือแผนที่คนละฉบับกับกัมพูชา ไทยยึดถือเส้นเขตแดนตามมติคณะรัฐมนตรี พ.ศ.2505 (ค.ศ.1962) หลังจากคืนปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาตามคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศแล้ว
การที่กัมพูชามีความคิดที่ต่างจากไทยและต่างฝ่ายต่างยึดถือแผนที่คนละฉบับ จึงทำให้พื้นที่ขัดแย้งตรงนี้ไม่สามารถเจรจาแก้ไขลงได้ อย่างไรก็ตาม การประชุมเจรจาระหว่างสองประเทศที่ผ่านมาได้บรรลุผลเป็นที่น่าพอใจในระดับหนึ่ง ที่แต่ละฝ่ายจะคงกองกำลังทหารไว้ในพื้นที่ขัดแย้งนี้ให้เหลือน้อยที่สุดฝ่ายละ 30 นาย เพื่อลดสภาวะความตึงเครียดชายแดนลง
เวลาผ่านไปจนกระทั่งเดือนตุลาคมที่ชายแดนได้กลับมาปะทุความรุนแรงขึ้นอีก เมื่อนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ประกาศให้ทหารไทยถอนกำลังออกจากพื้นที่พิพาท เนื่องจากไม่พอใจที่กองทหารพรานของไทยเข้าไปตั้งฐานปฏิบัติการประจำการอยู่ที่ภูมะเขือ ถือว่าเป็นการรุกรานดินแดนกัมพูชา
แม้แต่นายเขียว กันหะฤทธิ์ รัฐมนตรีกระทรวงข่าวสารและโฆษกรัฐบาลกัมพูชา ยังเรียกการปรากฏตัวของทหารไทยในพื้นที่ข้อพิพาทว่า "นี่คือการรุกรานดินแดนกัมพูชา เรา (กัมพูชา) จะไม่อนุญาตให้คนไทยอยู่ในดินแดนกัมพูชาต่อไป เราจะไม่ยอมทนต่อการกระทำนี้เพราะถือว่าประเทศไทยรุกรานดินแดนของเรา"
ดังนั้น เมื่อกองทหารพรานของไทยออกทำการลาดตระเวนในบริเวณภูมะเขือ ซึ่งทหารไทยถือว่าเป็นพื้นที่ของไทย เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม แล้วเผชิญหน้ากับกองทหารลาดตระเวนของกัมพูชาจึงทำให้ทหารกัมพูชาซึ่งมีความเข้าใจว่าทหารไทยรุกเข้าไปในดินแดนกัมพูชา ออกคำสั่งให้ทหารไทยถอยกองกำลังออกจากภูมะเขือ ไม่เช่นนั้นทหารกัมพูชาจะปฏิบัติการโจมตีทหารไทยเพื่อขับไล่ ฝ่ายทหารไทยไม่ยอมถอยเพราะถือว่าเป็นดินแดนไทยที่ต้องปกป้องอธิปไตย
ในที่สุดได้เกิดการสู้รบกันระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา โดยต่างฝ่ายต่างกล่าวหากันว่าเป็นฝ่ายเริ่มต้นยิงก่อนฝ่ายตนจึงต้องยิงตอบโต้เพื่อป้องกันตัว
การสู้รบบนพรมแดนเขาพระวิหาร
มีคำถามขึ้นมาว่า เหตุใดกัมพูชาจึงกล้าเปิดฉากรบกับไทย ทั้งๆ ที่รู้ว่าไทยมีกำลังทหารที่มีประสิทธิภาพกว่าและมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยกว่า
เรื่องนี้ผู้เขียนขอรวบรวมแนวคิดของผู้บริหารระดับสูงของกัมพูชามาประมวลให้เห็นดังนี้
"การรุกล้ำดินแดนกัมพูชาของฝ่ายไทยเป็นการทดสอบความมุ่งมั่นของกัมพูชาว่าจะกล้าเผชิญหน้ากับประเทศเพื่อนบ้านที่ใหญ่กว่าหรือไม่ในปัญหาพรมแดน" นี่เป็นคำให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวของปลัดกระทรวงกลาโหมกัมพูชา จุม สมบัติ
"เชื่อว่าไทยต้องการจะทดสอบเรา (กัมพูชา) ถ้าหากเราไม่ตอบโต้และแสดงความอ่อนแอออกมา ไทยจะถือโอกาสยึดดินแดนไปจากเรา ไม่มีเหตุผลใดที่ทหารไทยจะมากล่าวอ้างว่าเป็นดินแดนของไทยและไม่ยอมถอนกองกำลัง เพราะประชาคมนานาชาติต่างพากันรับรองแผนที่ซึ่งกัมพูชาลากเส้นพรมแดนครอบคลุมพื้นที่ดังกล่าว"
"เรา (กัมพูชา) มีอาวุธมากมาย แต่เราไม่ต้องการละเมิดสนธิสัญญามิตรภาพของอาเซียน และเราหวังว่าความขัดแย้งนี้จะไม่นำไปสู่การสู้รบของสองฝ่าย" นายเขียว กันหะฤทธิ์ รัฐมนตรีกระทรวงข่าวสารและโฆษกรัฐบาลกัมพูชาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงแรกของวิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา หลังจากกัมพูชาประสบความสำเร็จในการยื่นเสนอต่อ UNESCO ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
จากแนวคิดที่ยกมาอ้างนี้ แสดงออกถึงความพร้อมของกัมพูชาที่จะเผชิญหน้ากับไทยทั้งด้านจิตใจอันกล้าหาญของทหารกัมพูชา เพราะเคยผ่านสงครามมาแล้วอย่างยาวนาน และด้านอาวุธยุทโธปกรณ์
สำหรับด้านอาวุธนั้นไทยไม่ควรประมาทมองข้ามกัมพูชาว่าเป็นประเทศยากจนจะมีแต่เขี้ยวเล็บผุๆ หาเป็นเช่นนั้นไม่ ปัจจุบันกัมพูชาได้พัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารให้ทันสมัยโดยได้รับความช่วยเหลือจากจีน อาทิ รถถัง ปืนใหญ่ รถบรรทุกทหาร รถจี๊ปทหาร และอาวุธปืนไรเฟิลอัตโนมัติ เป็นต้น
กรณีที่ผู้นำกัมพูชาออกมาประกาศให้ไทยถอนตัวออกจากดินแดนข้อพิพาทอย่างเร่งด่วนในระยะต้นเดือนตุลาคมนี้ มีเหตุผลกดใดเป็นเงื่อนงำซ่อนอยู่ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ได้ส่งตัวแทนทั้งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศประชุมเจรจากับผู้แทนไทยเป็นระยะๆ
ผู้เขียนขอวิเคราะห์ประเด็นดังนี้
ปัจจัยภายในของกัมพูชา
ภายหลังจากกัมพูชาเสนอขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกได้สำเร็จแล้วกัมพูชายังมีภาระต้องทำรายงานความก้าวหน้าเสนอต่อ UNESCO ในอีก 2 ปีข้างหน้า ด้วยเหตุนี้ นายกรัฐมนตรีฮุน เซน จึงต้องการแสดงความสำเร็จในการดำเนินนโยบายของผู้นำ โดยการนำพื้นที่โดยรอบปราสาทมาเป็นองค์ประกอบให้ครบถ้วนของแหล่งโบราณสถานและเพื่อความสมบูรณ์ของการเป็นมรดกโลก
นั่นย่อมหมายถึงว่า กัมพูชาต้องการนำพื้นที่จุดขัดแย้งนี้มาเป็นองค์ประกอบของตัวปราสาทพระวิหาร และต้องการบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทโดยลำพัง ไม่ต้องการร่วมกับไทย จึงเร่งรีบดำเนินการโดยมิได้นำเอาการเจรจากับไทยหลายครั้งที่ผ่านมาเข้าสู่การพิจารณาไตร่ตรอง
อีกประการหนึ่ง มีความเป็นไปได้ว่านายกรัฐมนตรีฮุน เซน มีจุดประสงค์ที่จะเร่งรัดพัฒนาการท่องเที่ยวของกัมพูชาให้ขยายตัวแหล่งท่องเที่ยวออกไป เมื่อปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแล้วก็ปรารถนาจะประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชม ทั้งนี้แหล่งท่องเที่ยวเดิมที่นครวัด-นครธม ในระยะ 1-2 ปีมานี้มีนักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชมอย่างมากล้น แต่ละปีมีจำนวนประมาณ 1.6-1.7 ล้านคน
รัฐบาลกัมพูชาเกรงว่าแหล่งโบราณสถานดังกล่าวจะเสื่อมทรุดในเวลาอันรวดเร็ว จึงปรารถนาจะเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวใหม่เข้าด้วยกันกับแหล่งเก่า เพื่อกระจายนักท่องเที่ยวออกไป ซึ่งเป็นการยืดอายุแหล่งโบราณสถานในจังหวัดเสียมเรียบ และเป็นการขยายเวลาการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวในกัมพูชาออกไป
ปัจจัยภายนอก
นายกรัฐมนตรีฮุน เซน มองเห็นว่าในเวลานี้ประเทศคู่เจรจาคือประเทศไทย มีความอ่อนแอทางการเมือง รัฐบาลไร้เสถียรภาพ ประชาชนแตกแยกทางความคิดออกเป็นหลายฝ่าย จึงควรถือโอกาสนี้กดดันไทย โดยเฉพาะให้ถอนทหารออกจากพื้นที่ขัดแย้ง ซึ่งกัมพูชาคาดการณ์ว่าตนจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพราะไทยต้องเผชิญกับปัญหา 2 ด้าน คือ ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองภายในและปัญหาความขัดแย้งกับกัมพูชาภายนอก ไทยจะมีความพะวักพะวนทำให้อาจยอมความโดยง่าย
การเล็งผลเลิศของผู้นำกัมพูชาเช่นนี้ ในขณะที่ไทยมีการเปลี่ยนรัฐบาล อันเป็นเหตุให้การเจรจาระหว่างไทยกับกัมพูชาต้องหยุดชะงักลงชั่วคราว จึงเป็นโอกาสของกัมพูชาที่จะเอาชนะไทย
ความลงท้าย
เหตุการณ์ที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นบทเรียนอันมีคุณค่ายิ่งที่คนไทยควรจะหันหน้ามาปรองดองกันเพื่อเป็นกำลังปกป้องแผ่นดินไทย
ตราบใดที่คนไทยยังแตกแยกขาดความสามัคคี รังแต่จะทำให้ประเทศชาติอ่อนแอ จนไม่มีเกียรติภูมิ เกียรติศักดิ์ ที่ประเทศอื่นจะให้ความยำเกรง
ซึ่งผู้นำกัมพูชาได้กล่าวเปรียบเปรยไว้ว่า "มดตัวเล็กๆ ก็สามารถทำให้ช้างเจ็บได้"
หน้า 7
ที่มา : มติชนรายวัน, วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11189
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น